Celeb Online

เมืองแห่งความสุขและอ้างว้าง ‏ : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ที่บ้านของฉันอากาศหนาวในบางวันลมหนาวแรงพัดซู่ๆ ในยามดึกดื่นและอ่อนแรงลมลงในเวลากลางวัน กระนั้นในแสงแดดก็ยังไม่วายหนาว
 
ฉันเริ่มเปิดตู้ขนเอาผ้าห่มและเสื้อหนาวออกมาสำหรับใส่ใช้งาน ในปีหนึ่งๆ นั้นจะได้ใช้กันก็เพียงไม่กี่วันและในไม่กี่วันนั้นนั่นก็คือช่วงเวลานี้เพียงออกจากโรงพยาบาลมายังไม่ถึงเดือน

ฉันแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แม้จะยังมีอาการเหนื่อยเวลาพูดหรือเดิน แต่ความกังวลใจและกลัวที่เคยมีว่าอาการจะกำเริบนั้นกลับน้อยลง และแทบจะคอยสังเกตอีกเสียด้วยซ้ำว่า เมื่อบางเวลาที่ใจเต้นตุบๆ และรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นบ้างนั้นมันจะเต้นรุนแรงขึ้นจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกไหม

แต่ก็เปล่ามันแค่เพียงรู้ว่าใจเต้นแรง หรือบางวันนั้นก็เหนื่อยและเพลียง่วงนอนเอาเป็นอย่างมาก ฉันก็บำบัดร่างกายไปตามอาการคือง่วงก็นอน เหนื่อยก็พัก และเตรียมพร้อมว่าหากมีอาการก็จะไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่านั้น


หลังจากการพักผ่อนผ่านไป เป็นเวลานานหลายต่อหลายเดือนมาแล้วฉันไม่ได้พบกันเลยกับเจ้าของแกลเลอรี่ที่เปิดโอกาสให้ฉันนำงานไปขายที่นั่น ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขาในช่วงใกล้ขึ้นปีใหม่ ถามสารทุกข์สุกดิบ เขาสนใจงานบางชิ้นที่มีอยู่ก่อนเก่าและเราได้พูดคุยถึงมันแรกนัดกันว่าน่าจะได้พบกันหลังช่วงปีใหม่

แต่เพียงแค่ผ่านไปสองวันหลังคุยโทรศัพท์ ฉันนั่งๆ มองงานที่วางอยู่ในตู้บนบ้าน และปะปนอยู่กับเครื่องเรือนแล้ว ฉันก็เกิดความคิดขึ้นมาในใจทันที
 
“ฉันอยากเข้ากรุงเทพฯ ฉันอยากเอางานไปส่งให้ทันปีใหม่ แม่โสเภณีทั้งหลายของฉัน เราไปด้วยกันนะ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปพ่อไปส่งฉันที่ท่ารถ”
 
 ฉันห่อหุ้มงานหกเจ็ดชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้างไปอย่างหลวมๆ และบางชิ้นไม่มีวัสดุพอสำหรับห่อ ฉันก็ยกมันไปทั้งเปลือยๆ อย่างนั้น นั่งรอรถอยู่ที่ม้าหินข้างทางบนถนนสายเล็กของเมืองบ้านนอก ราวไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถก็แล่นมา ฉันรีบโบกไม้โบกมือเรียก แต่รถตู้โดยสารคันนั้นก็แล่นปรู๊ดปร๊าดไปจอดเลยจากจุดที่ฉันยืนอยู่เสียไกลฉันบ่นอุบอิบด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ

“เอ๊า นี่ไปจอดซะไกลเลย” พร้อมๆ กับถอนหายใจเฮือกใหญ่

หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันกับฉันและกำลังจะวิ่งไปขึ้นรถ ได้หันมามองฉันเมื่อเธอเห็นข้าวของที่อยู่บนโต๊ะหิน สายตาของเธอก็บอกแววแห่งความเห็นใจ
 

“มา ให้ฉันช่วยยกไปบ้างนะ” เธอกล่าวและรีบหยิบชิ้นงานขึ้นไปแนบอกและถือไว้ในมือทั้งสองข้างเดินนำฉันไปขึ้นรถ ฉันเองก็คว้าเอาชิ้นที่เหลืออีกสามสี่ชิ้นเดินตามติดไปอย่างรวดเร็ว พอถึงประตูรถงานชิ้นหนึ่งก็ให้มีอันร่วงโครมลงกับพื้น ฉันอุทานร้อง “เอ้าว้าย!!! ของหล่น” แล้วรีบหยิบงานขึ้นรถแล้วปิดประตูไปอย่างเร่งรีบ โชเฟอร์รถตู้โดยสารก็ขับเคลื่อนรถจากที่จอดโดยเร็ว ฉันหันไปขอบคุณหญิงสาวผู้มีน้ำใจคนนั้น และหันมาบ่นอุบอิบแล้วเปิดงานชิ้นที่ร่วงหล่นออกมาดู

แหม!! เดชะบุญที่ด้านใต้ล่างของงานที่กระแทกพื้น และมีร่องรอยกระแทกเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็นเพียงเท่านั้น ฉันเอามือลูบๆ ปัดๆ เท่าที่ทำได้ แล้วทำใจเป็นปกติห่อหุ้มงานไว้ดังเดิม
  

“ฉันกำลังจะไปส่งงานที่กรุงเทพฯ”
 

โชเฟอร์หันมามองและบอกกล่าวเหตุผลที่เขาต้องจอดรถออกมาจากจุดที่เรายืนรอเสียไกลโข เพราะเป็นป้ายของใครของมัน จุดที่ฉันยืนไม่ใช่จุดจอดของรถบริษัทเขา ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถจอดได้ พูดไประคนเสียงหัวเราะ
 

 เมื่อได้ฟังเหตุผลและได้ยินเสียงหัวเราะและพูดอันเป็นสำเนียงต่างจังหวัดของเขา ฉันก็เลิกบ่นอุบอิบข้างในใจนั่งไปหลับไปยังไม่ทันเต็มอิ่มลืมตามาอีกทีก็ถึงกรุงเทพเสียแล้ว
  

 โชเฟอร์จอดให้ฉันลงในจุดที่เรียกรถแท็กซี่ได้ง่าย ลุงแก่ๆ คนหนึ่งกำลังยืนเช็ดรถแทกซี่ของแกอย่างขมักเขม้นอยู่ใต้ร่มตะขบริมถนน รถตู้เทียบลงตรงนั้น ฉันร้องบอกถึงแหล่งแห่งหนที่ฉันจะไป ลุงคนขับแทกซี่พยักหน้าตอบรับและวิ่งกุลีกุจอมาช่วยฉันขนงานลงจากรถตู้ ใส่ลงที่ท้ายรถและขับปรื๋อไปยังสถานที่อันเป็นที่หมายของฉัน
 

ถนนสุขุมวิทรถติดพอประมาณแม้ไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน ลุงบอกติดทุกวัน ปกติลุงไม่เข้ามาหรอกแถวนี้ ฉันคุยไปพลางๆ กับลุงคนขับพร้อมกับเปรยๆ ถามลุงว่า
 

“ลุงๆ ถ้าไปถึงที่โน่นแล้วลุงช่วยหนูขนของลงจากรถไปบนห้างด้วยกันหน่อยได้มััยคะ แล้วหนูจะให้เงินเพิ่มเป็นค่าเสียเวลาค่ะ”

ลุงตอบ “ไอ้ได้น่ะมันได้หรอก ถ้ามีที่จอดรถนะ สำคัญมันจะไม่มีน่ะสิ”
 

ฝ่ารถติดมาได้ครู่ใหญ่และมาจนถึงหน้าห้างที่ว่า ลุงจอดรถเลยมาในบริเวณที่เป็นโรงแรม ไม่มีที่จอดละครับ ลุงช่วยขนแค่ลงจากรถนี่ละนะ ต้องรีบไปก่อนละ
  

“ได้ค่ะ ไม่เป็นไร”
 

ลุงกุลีกุจอช่วยขนงานวางลงที่ข้างกระถางต้นไม้ของโรงแรมหรู ฉันรีบจ่ายเงินค่าโดยสาร แล้วต่างคนต่างไป
 
พนักงานโรงแรมเดินเข้ามาถามฉันว่าต้องการรถขนของไหม ฉันพยักหน้าตอบในทันที เขาเดินไปที่มุมห้องของล๊อบบี้เพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาแล้วส่ายหน้า
 

“รถไม่มีครับ ของหนักไหม”
 

” หนักค่ะ งั้นจะขอฝากของนี่บางส่วนไว้ที่ข้างเคาน์เตอร์ก่อนได้ไหม ดิฉันจะขนเที่ยวแรกนี่ขึ้นไปก่อน”
  

 พนักงานนั้นตอบตกลง และไปหาถุงผ้าใบหนึ่งมายื่นให้ฉัน ฉันนำงานชิ้นเล็กๆใส่ลงไปในถุงผ้าใบนั้น ถามหนทางเดินจากเขาแล้วรีบเดินไปยังทางที่เขาบอก เพียงพ้นบันได้เลื่อนและประตูของโรงแรมก็เป็นอาณาเขตของห้างสรรพสินค้าอันหรูหรา ฉันเดินตัวตรงมือข้างหนึ่งถืองานชิ้นใหญ่ไว้ในอ้อมแขน และสะพายกระเป๋าผ้าบรรจุงานอีกสามชิ้นไว้ที่ไหล่อีกข้างหนึ่งเมื่อขึ้นไปถึงแกลเลอรี่ที่หมาย
 

ฉันยืนรอเพียงครู่หญิงสาวผู้เป็นพนักงานก็รีบมาเปิดประตูให้
 

“รอนานไหมคะพี่องุ่น”
  

“ไม่นานค่ะ”
  

ฉันตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วรีบวางงานลง แล้วบอกเดี๋ยวพี่มา ลงไปขนอีกรอบ ฉันเดินลงไปเอางานที่เหลือขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว จนถึงแกลเลอรี่แล้วก็วางงานลง รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ลึกลงไปที่บริเวณหน้าขาพับด้านขวาตรงช่วงที่คุณหมอได้ทำการเจาะเส้นเลือดเพื่อทำการจี้รักษาโรคหัวใจ แล้วพลันฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า โอ นี่ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่ถึงเดือนเลยนะ ราวสามอาทิตย์เท่านั้น แล้วฉันก็ขนของและเดินอย่างรวดเร็วจนลืมไปเลยเมื่อแกะงานออกมาและทำใบรับให้ฉันเรียบร้อยแล้ว
 

เราได้คุยกันถึงเรื่องต่างๆพอได้รับรู้สารทุกข์สุกดิบกันตามสมควร ฉันก็กลับออกมาด้วยอาการของคนตัวเบาจากข้าวของต่างๆ และการทำหน้าที่ของฉันได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ด้วยตัวเองอีกครั้ง
 

แม่หญิงโคมเขียวของฉันพากันมานั่งอยู่ที่นั่น กับงานหลายต่อหลายชิ้นที่ยืนอวดโฉมกันอยู่ ท่ามกลางคนเดินไปมาขวักไขว่ และในคนเหล่านั้นจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะเดินเข้ามาหาพวกเธอด้วยรักและเต็มใจที่จะนำเธอเข้าไปยังบ้านเรือนด้วยความสุข จะมีใครสักคนที่จะยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อแลกกับมันฉันนึกถึงรอยยิ้มของน้องผู้เป็นพนักงานขายของเมื่อมองเห็นแม่พวกหญิงโคมเขียว
 

 เธอยิ้มและหัวเราะเล็กๆ พร้อมบอก “มันน่ารักมากๆ เลยค่ะ งานน่ารักอย่างนี้แน่นอนเลย อยู่ไม่นาน”
 

เธอขอกอดฉันเมื่อเวลาที่ฉันจะกลับออกมาจากร้าน ฉันกอดเธอและกล่าวคำอำนวยอวยพรแก่เธอในช่วงปีใหม่

ไม่ว่าเธอจะเป็นเพียงพนักงานขาย หรือเป็นเศรษฐีมีเงินผู้มีอำนาจซื้อ แต่เราต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน และเธอก็เป็นมนุษย์ที่ได้เห็นงานของฉัน แล้วแสดงอาการของคนที่มีความสุข
 

 เราต่างปลอบประโลมใจในกันและกันท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีแต่ความสุขและเสรี แต่ลึกๆ แล้ว ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำของบุคคลแต่ละชนชั้นในตำแหน่งหน้าที่แฝงอยู่อย่างมากมาย
 

ลาก่อนเมืองใหญ่ เมืองอันสวยงาม และเต็มไปด้วยความสุขของคนผู้มีทรัพย์
 

แต่สำหรับชนชั้นทำมาหากินปากกัดตีนถีบนั้น “กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

ฉันแว่วยินเสียงของลุงคนขับแทกซี่ ฉันเดินพลางระลึกถึงดวงตาและใบหน้าอันแฝงไปด้วยความเศร้าและอ้างว้างอย่างเร้นลับจากดวงตาและใบหน้าของหญิงสาว

ถ่ายภาพโดย :  ชาญชัย แซ่ฉั่ว






รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews