คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เมื่อวานนี้ฉันพางานปั้นหญิงสาวไปอยู่บ้านใหม่ จากบ้านของฉัน ฉันขับรถเลาะไปเรื่อยๆ ตามถนนตัดผ่านทุ่งนาสายแม่ลาที่มีปลาช่อนอันเลื่องชื่อมาแต่เก่าก่อน
ผ่านเข้าตัวเมืองและตลาด แล้วตัดออกถนนสายใหญ่อันมีรถรามากมายมุ่งขึ้นไปทางทิศเหนือ
ล้อหมุนไป ใจฉันจดจ่อกับหนทางข้างหน้ามือจับพวงมาลัย
แต่เปล่า! ในการเดินทางคราวนี้ฉันไม่ได้ไปคนเดียวที่นั่งข้างๆ กันกับฉันนั้นมีพี่ผู้หญิงผู้หนึ่งได้นั่งไปด้วยกันกับฉันด้วย
ก่อนหน้าที่เราจะนั่งรถมาด้วยกัน ฉันไปรับเธอที่ท่ารถในตัวจังหวัด เธอเลยได้พาฉันแวะเวียนไปตามบ้านญาติๆ ของเธอที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองจากท่ารถเดินเข้าตรอกซอกซอยเข้าไปไม่ไกล
เราก็ได้ยกมือสวัสดีกันมือเป็นระวิงเพราะญาติๆ ทุกๆ คนของเธอนั้นมีบ้านอยู่ติดๆ กัน
ชี้ไปตึกแถวห้องไหน ขายอะไร ก็ล้วนเป็นญาติเป็นดองกันทั้งนั้น
ฉันเดินตามเธอเข้าออกบ้านโน้น บ้านนี้นั่งสนทนาปราศรัยกันกับแต่ละบ้าน ฉันเห็นความรักความดีใจ เห็นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในหมู่ญาติ และฉันเองก็พลอยได้รับการแนะนำให้รู้จักกับใครหลายคนในตัวจังหวัดอันเป็นที่อยู่ของฉัน เพิ่มขึ้นมาอีกหลายต่อหลายคนทีเดียว
ฉันเคยสังเกตุตัวเองว่า ฉันนั้นเป็นคนที่ชอบคบหาสมาคมกับคนที่อายุมากกว่า แทนที่จะคบหาคุยเล่นกับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกัน ตั้งแต่ไหนแต่ไร ฉันจะมีเพื่อนมีพี่ที่สนิทสนมด้วยเป็นผู้ใหญ่กว่าฉันหลายต่อหลายปีด้วยกันแทบทั้งนั้น
หรืออาจเป็นเพราะฉันไม่มีพี่ ฉันเป็นพี่คนโต เป็นลูกคนโตของบ้าน
การคบหาคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าทำให้ฉันได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ จากพวกเขาที่โตกว่า ที่มีอะไรน่าสนใจมากมายให้ได้เรียนรู้ และฉันเองก็ชอบเช่นนั้น
อาจเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้จะเป็นนักวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดคำตอบในบางเรื่องที่จะให้กับตัวเองก็ยังไม่ชัดนัก
ฉันขับรถไปด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิมเป็นสองเท่าเมื่อมีคนนั่งไปกับฉัน และที่สำคัญที่ข้างหลังรถในวันนี้มีงานปั้นซึ่งถูกวางไว้ที่พื้นรถโดยมิได้บรรจุในหีบห่ออันจะเป็นสิ่งปกป้องให้งานปลอดภัยแต่อย่างใด ฉันเพียงวางมันลงไว้กับพื้นแล้วกันไว้ด้วยสิ่งของต่างๆ ที่พอหาได้ข้างหลังรถพึงมีเท่านั้น
รถแล่นไปโดยจุดหมายอยู่ที่หัวใจ และที่สุดสายตาของฉันที่มองออกไป
พี่ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางของฉัน นั่งคุยกับฉันไปเรื่อยๆ ถึงความหลังครั้งเก่าในวัยเยาว์ของเธอและการต่อสู้ในชีวิตอย่างเข้มแข็งทรหดอดทนตั้งแต่เล็กแต่น้อย ที่ทำให้เธอฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ และเติบโตมีชีวิตที่แข็งแกร่งสง่างามทั้งยังพร้อมไปด้วยปัจจัยต่างๆ ที่จะไม่ทำให้ชีวิตเธอต้องลำบากอีกต่อไป
แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจใช้ชีวิตไปในทางฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแต่ประการใด กับทั้งยังตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าๆ อันเป็นความสุขของเธอ และยังเป็นเครื่องปกป้องเธอให้รอดพ้นจากความสนใจจากเหล่ามิจฉาชีพและคนทั่วไปในยามที่เธอต้องเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพัง
เพียงไม่นานนัก ฉันก็มาถึงยังอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในนครสวรรค์ เมื่อเริ่มเลี้ยวเข้าตัวอำเภอเธอก็ชี้ให้ฉันดูบ้านหลังต่างๆ ที่ปลูกขึ้นมาใหม่ตามริมถนน บางหลังเป็นบ้านทรงไทยเรียบหรูดูดีสวยงามอย่างที่สุดตั้งแต่หน้าประตูรั้วไปจนถึงข้างในบ้าน ฉันชลอรถเพื่อมองดู
บางหลังก็เป็นบ้านปีกไม้ทาแชล็กมันเป็นวาวแปลบปลาบซึ่งก็คงเป็นไปตามความรักความชอบของคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น บางหลังก็เป็นบ้านใหม่ก่ออิฐถือปูนมุงหลังคาสีแจ่มจ้า เห็นสีหลังคามาแต่ไกลๆ
ในละแวกนี้มีบ้านใหม่ๆ สวยๆ ต่างมาปลูกเรียงรายกันมากมายหลายหลัง
“ก็ดีซิคะ มันเป็นการดีที่คนต่างหันกลับมาอยู่ในชนบท” ฉันบอก
“เลี้ยวตรงนี้ เลี้ยวตรงนี้” ฉันชลอ เลี้ยวตามคำบอก ครั้นพอถึงหัวมุมถนนเล็กๆ
“นี่ๆ ดูบ้านหลังนี้ซิ พี่ชอบม๊าก เคยขอซื้อแต่เค้าไม่ยอมขาย”
ฉันรุดหันหน้ามองตามคำบอก พบบ้านไม้เก่าสีซีดจางไม้บางส่วนเริ่มหลุดร่วงห้องต่องแต่ง แต่ยังคงเห็นความเป็นบ้านแฝดไม้สองหลังน่ารักอยู่เคียงคู่กันและมีลูกไม้อันน่ารักติดที่เชิงชายหน้าบ้าน
“บ้านสวยจริงๆ ด้วยค่ะพี่” ฉันมองด้วยความเสียดาย บ้านสวยๆ อย่างนี้ไม่น่าถูกปล่อยทิ้งร้าง
ขับผ่านมาไม่ไกล ก็ถึงทางเลี้ยว “เลี้ยวนี่ๆ!! ถึงแล้วจ้ะ บ้านพี่”
ฉันเลี้ยวรถเขาไปยังประตูบ้านหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปก็สะดุดตากับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมให้ร่มเงาเป็นวงกว้างโดยรอบ แดดยามบ่ายที่สะท้อนแสงทาบทับใบต้นหูกระจงลงบนตัวบ้านนั้นเกิดเป็นเงาเคลื่อนไหวสวยงามอย่างจับใจ งามในความเรียบง่าย งามในความเป็นจริงแห่งธรรมชาติและเวลา
“ต้นไม้นี้ช่างสวยเหลือเกินค่ะ” ฉันพูดมองไปที่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่อันเป็นประธานต้นนั้น และเงาของหูกระจงที่กำลังวิบวับอยู่บนฝาไม้ของบ้าน
บ้านแต่ละหลังของใครแต่ละคน ต่างมีบุญคุณต่อคนที่พึ่งพิงมันอยู่
บ้านแต่ละหลังของใครแต่ละคน ต่างเคยมีเรื่องราวและชีวิตหลายต่อหลายชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ …ฉันคิด
ฉันลงไปเปิดท้ายรถและยกงานปั้นรูปหญิงสาวของฉันลงมา และก้าวเดินไปยังบ้านหลังนั้น บ้านไม้แบบเก่าที่มีลายลูกไม้กระดาษติดบนขอบหน้าต่างและมียันต์ที่มองดูคล้ายกับพานพุ่มที่บานประตู
(อ่านต่อ…วันพฤหัสบดีหน้า)
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews