คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เมื่อเท้าของฉันย่างเหยียบลงบนพื้นไม้บนเรือนเก่าหลังนั้น มันช่างให้ความรู้สึกที่ราวกับพื้นไม้และฝ่าเท้าของฉันนั้นต่างเคยเป็นเพื่อนสนิทคุ้นเคยกันมาช้านานเก่าก่อน
“เดินบนเรือนอย่าลงส้นเท้า” คำของย่าผุดขึ้นมาในห้วงนึกของฉัน
ใช่สิ..ฉันเคยชินกับการเดินและนั่งนอนบนพื้นเรือนไม้เก่าๆ แบบนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กที่บ้านย่าของฉันนั่นเอง
พี่ผู้เป็นเจ้าของบ้านรีบกุลีกุจอไปที่แท่นกระเบื้องโบราณ แล้วยกบางสิ่งบางอย่างที่ถูกวางอยู่ก่อนนั้นออกไป
“เอางานวางตรงนี้ได้เลยค่ะ ชิ้นนี้วางตรงนี้ ส่วนอีกสองชิ้นนี้วางตรงนี้”
งานของฉันถูกวางลงทางด้านซ้ายและด้านขวาของแท่นกระเบื้องอันเป็นประธานตรงปากประตูบ้าน เมื่อใครก็ตามจะเดินเข้าบ้านหลังนี้ ก็จะต้องพบเห็นเข้ากับงานของฉันที่วางเด่นเป็นสง่านั่นก่อนอื่นใด
“ชิ้นนี้ตั้งใจปั้นให้เป็นอีโรติกนิดๆ นะคะพี่ มองดูเส้นที่ก้นและขานะคะ ถ้าโดนแสงและมีเงานิดนิึงตรงเส้นนั้นมันจะบ๋ำๆ โค้งลงไปทำให้ดูโป้หน่อยค่ะ แต่ตั้งใจค่ะ เพราะโดยส่วนตัวชอบมองเส้นของก้นที่เชื่อมต่อกับต้นขาเส้นนี้มาก และพยายามที่จะปั้นโดยเน้นเส้นนี้มาในงานหลายชิ้นแล้วค่ะ” ฉันกล่าว
พี่เจ้าของบ้านมองตาม แล้วบอก “อืม..ใช่ พี่ก็เห็นอยู่”
“สวนอีกสองชิ้นนี้เป็นงานที่ต้องวางอิงกันไว้อย่างนี้นะคะ” ฉันพูดพลางก็หยิบจับงานอีกสองชิ้นให้อิงแอบอยู่ด้วยกัน
“แหม! เห็นแล้วชื่นใจจังเลยค่ะ พองานมาอยู่ที่บ้านนี้แล้วช่างสวยงามเหมาะสมกลมกลืนต่อกันเหลือเกินค่ะ” ฉันกล่าว
เรานั่งคุยกันและมองไปที่งานอยู่พักใหญ่ พี่เจ้าของบ้านจึงเรียกญาติผู้หนึ่งที่มาคอยช่วยทำงานบ้านและดูแลต้อนรับ ให้เข้ามาเตรียมที่นอนให้กับเรา
“อยากนอนบ้านไหน บ้านโน้นหรือบ้านนี้? ”
เธอหมายถึงบ้านหลังใหญ่ของญาติที่อยู่ติดๆ กันและที่นั่นมีเครื่องนอนพร้อมอยู่แล้ว “แต่เวลาพี่มา พี่ก็นอนบ้านโน้นนะคะ” พี่สาวผู้เป็นเจ้าของบ้านกล่าว
“อุ๊ย!! อยากนอนที่บ้านหลังนี้ค่ะ ชอบบ้านหลังนี้อยากนอนที่นี่ นอนบนพื้นไม้ ชอบเรือนเก่า ค่ะ นอนที่นี่นะคะ” ฉันกล่าวราวกับเด็กๆ ที่เอาแต่ใจตัวเอง
“ตกลงจ้ะ งั้นเรานอนที่บ้านหลังนี้กัน ปกติเวลาพี่มาพี่ก็ไม่ได้นอนที่นี่หรอก พี่ไปนอนที่หลังโน้นน่ะ งั้นคืนนี้พี่จะนอนที่นี่เป็นเพื่อน”span>
“พี่ใหญ่..ช่วยไปขนเครื่องนอนมาบ้านนี้สองชุดนะจ๊ะ อ้อ..!! ขอเครื่องนอนชุดหนึ่งเป็นสีชมพูหมดนะ ทั้งมุ้ง หมอน ผ้าห่ม เอาสีชมพูหมด เพราะคนที่มานี้เค้าชอบสีชมพู” เธอกล่าวยิ้มๆ
แต่ฉันรู้สึกขอบคุณในความละเอียดเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้กับฉันเป็นอย่างยิ่ง
ค่ำนั้น ฉันเพลินเพลินอยู่กับการเดินดูข้าวของเครื่องประดับบ้าน อันเป็นของที่พี่ผู้เป็นเจ้าของบ้านนำมาประดับตกแต่งบ้านตามไสตล์ที่ดิบและเรียบง่ายแต่คงความมีเสน่ห์อย่างพิเศษ
ก่อนล้มตัวลงนอนฉันนั่งอยู่ในมุ้งครอบสีชมพู ยกมือพนมแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างปลอดภัย นึกกล่าวขอบคุณเจ้าของบ้านและพระภูมิเจ้าที่ผู้ปกปักรักษาบ้านเรือน อันเป็นกิจที่ทำเป็นประจำของฉันเมื่อต้องจากบ้านไปนอนในที่อื่นๆ
“ขอบใจนะ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ย
ฉันมองไปทางเสียงนั้น เห็นในเงาสลัวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน “มานี่ซิ ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง”
แรกนั้นฉันว่าฉันจะนอน แต่แล้วก็เปิดมุ้งและมุดตัวออกไป เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างว่าง่าย
“นั่งคุยด้วยกันก่อนซิ” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นกับฉัน แล้วเธอก็ลุกจากม้านั่งไม้ที่ระเบียงไปนั่งขวางอยู่ที่ขั้นบันได ฉันมองที่เสื้อลูกไม้คอจีนที่เธอสวมใส่ มองทรงผมที่เกล้าเรียบๆ แล้วมัดเป็นมวยไว้ที่ด้านหลัง
“ฉันชอบงานของเธอนะ ชอบรูปปั้นผู้หญิงที่เธอเอามาวันนี้น่ะ”
“มันเป็นของเก่าเธอรู้ไหม? เธอน่ะเป็นคนมีของเก่า” หญิงผู้นั้นกล่าวกับฉันน้ำเสียงเรียบๆ
“ฉันปั้นมันขึ้นมาใหม่ๆ เลยค่ะ มันไม่ใช่ของเก่าที่ไหนหรอกค่ะ” ฉันแย้ง
“จริงอยู่ เธอปั้นมันขึ้นมาใหม่ แต่เธอรู้ไหมของเก่าที่ฉันบอกน่ะ มันคือสิ่งติดตัวเธอมาข้ามภพข้ามชาติ”
ฉันฟังแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ!!!
“หากพรุ่งนี้เธอพบเห็นใครก็ตาม จะรื้อฟื้นเอาของเก่าขึ้นมาทำมาหากิน เธอช่วยบอกเขาด้วยนะ ว่าฉันจะดีใจ ว่าฉันจะเอาใจช่วย ขอแต่ให้เขาทำด้วยความจริงจัง จริงใจ อดทน อย่าเปลี่ยนใจ และอย่าโลภ ให้ทำอย่างโบราณแท้ๆ แล้วเมื่อนั้นแหละ จะร่ำรวย”
ฉันมองที่ดวงหน้าที่สวยประหลาดกึ่งจีนกึ่งไทยแต่ดวงตากลมโต ของหญิงผู้นั้นที่สะกดฉันให้นิ่งฟัง ดังต้องมนต์
“ฉันชอบนะ รูปปั้นผู้หญิงที่เธอเอามา ฉันมาบอกแค่นี้แหละ เธอกลับไปนอนเถอะ”
“อย่าลืมฉันนะ อย่าลืมที่ฉันบอก”
สิ้นประโยค “เธอกลับไปนอนเถอะ” จากปากของหญิงผู้นั้น ฉันก็กระสับกระส่ายตื่นขึ้นมาในทันที เสียงไก่ขัน กาเหว่าร้อง นี่เช้ามืดแล้ว โธ่!! ฉันฝันไป
นี่เราคงจะขับรถมาเหนือยและกินเยอะไปหน่อยเลยหลับสนิทฝันเป็นตุเป็นตะไปเช่นนี้
รุ่งเช้าพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้านชวนฉันออกไปตลาด ที่ตลาดยามเช้านั้นเต็มไปด้วยความคึกคัก ในเมืองที่อยู่ระหว่างช่องเขาในยามเช้านี้มีสายลมพัดแสนที่จะเย็นสบาย
ฉันมองดูความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารพืชไร่พืชสวนที่ถูกนำมาขายในท้องถิ่น ฉันเห็นความสัมพันธ์ของคนในชนบทที่เจอะเจอทักทายกันอย่างอบอุ่นยิ่ง ทุกคนนั้นต่างรู้จักกันไปหมด
กลับจากตลาดเราก็อิ่มท้องกันมาบ้างแล้วจากการเดินชิมอาหารการกินไปตลอดระยะทาง
“นี่ๆ..!! มาทางนี้กันจ้ะ พี่จะพามาดูตู้ ก๋งของพี่นั้นเป็นช่างไม้มาจากเมืองจีน”
ฉันเดินตามเข้าไปในบ้านหลังใหญ่อีกหลังหนึ่ง พี่สาวท่านนั้นพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านหน้าต่างถูกปิดไว้อากาศค่อนข้างอับทึบ บนนั้นเปรียบเสมือนยังห้องเก็บของ ฉันเห็นตู้ไม้โบราณวางเรียงรายกันอยู่ในห้องกว้างหลายต่อหลายใบ “ใบนี้ของพี่ๆ” พี่สาวท่านนั้นกล่าว
“มันเป็นตู้ที่สวยและฝีมือดีมากๆ ค่ะ ไม่เคยเห็นตู้เก่าลักษณะแบบนี้ ในร้านของเก่าแถวนี้มาก่อนเลย” ฉันเอ่ยพลางเอามือลูบไปตามความโค้งนูนของเนื้อไม้ที่ถูกกลึงเกลา จนสวยงาม มันไม่ใช่ตู้ที่ถูกสลักเสลาเป็นลวดลายไทยๆ แบบตู้เก่าๆ ที่เคยเห็นโดยทั่วไป แต่มันงามด้วยความโค้งนูนจากการกลึงเนื้อไม้ จนเรียบและเป็นเส้นสายอันงาม
ความงามนี้นี่เองที่เป็นลักษณะเด่นที่สำคัญของตู้เหล่านั้น
“ฝีมือราวกับศิลปินประติมากรรมไม้ในยุคสมัยปัจจุบันของเราเลยค่ะพี่ ไม่แพ้กันเลย เป็นตู้เก่าที่เนี้ยบมากๆ ค่ะ” ฉันเอ่ยชื่นชมด้วยรู้สึกจากใจ
แล้วสายตาของฉันก็ไปสะดุดหยุดอยู่กับภาพถ่ายใบหนึ่งในตู้โบราณนั้น “ภาพถ่ายผู้หญิงคนนี้ เป็นใครกันคะพี่???”
ฉันระล่ำระลักถามด้วยความประหลาดใจคลับคล้ายคลับคลา พี่สาวท่านนั้น เดินมาหยุดมองที่ภาพที่ฉันชี้ แล้วตอบว่า
“ผู้หญิงคนนี้เป็นคุณชวดคนหนึ่งของพี่จ้ะ เป็นเมียคนสุดท้ายของก๋ง ก๋งของพี่เป็นคนรูปหล่อ และมีเมียหลายต่อหลายคน ก๋งรักคุณชวดคนนี้มากแต่น่าเสียดายที่ชวดคนนี้ตั้งท้อง แล้วพอคืนที่จะออกลูกก็ต้องมาตายเพราะเด็กขวางท้อง”
ฉันลืมตาโพลง เมื่อฟังเรื่องราว!!!
“มะ..มะ มะ เมื่อคืนนี้ หนูฝันค่ะพี่ฝันเห็นผู้หญิงคนนี้มาคุยกับหนู หนูก็คิดว่าหนูคงเหนื่อยและกินมากไปเลยฝันเป็นตุเป็นตะ แต่ว่ารูปใบนี้กับผู้หญิงที่ฝันเห็น คือ..คือคนเดียวกัน หน้าตาเหมือนกันอย่างนี้ไม่ผิดเพี้ยนเลย หนูจำเสื้อและทรงผมได้ ดวงตาที่กลมโตนั้นก็ยิ่งใช่ค่ะ”
“คุณชวดคนนี้ ออกลูกตายบนเรือนเก่าหลังที่เรานอนเมื่อคืน นั่นแหละจ้ะ”
โอ..มิน่าเล่า ที่บานประตูหลายต่อหลายบานที่บนบ้านนั้น จึงถูกเขียนไว้ด้วยยันต์!!!
(อ่านต่อวันพฤหัสบดีหน้า)
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews