>>ศัลยกรรมความงาม ในประเทศไทยตอนนี้ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะการศัลยกรรมลดอายุ หรือการผ่าตัดดึงหน้า (Full Facelift) ซึ่ง ในวงการแพทย์ถือเป็นการผ่าตัดที่สามารถลดอายุได้มากที่สุด และศัลยแพทย์ทั่วโลก ได้มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดกันมาเรื่อย ๆ
ล่าสุดนี้ ศัลยแพทย์ไทย จากศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด ได้นำเสนอ การดึงหน้าเทคนิคใหม่ ซึ่งทีมแพทย์ได้ทำการศึกษา วิจัย และพัฒนา มากว่า 30 ปี จนเป็น “การดึงหน้าเทคนิคบางมด” สามารถดึงหน้าลดอายุได้มากกว่าเดิม เป็นธรรมชาติมากขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้ อยู่คงทนถาวร ยาวนานมากขึ้น ภายใต้ concept “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว เป็นธรรมชาติ”
โดยวันนี้ นายแพทย์ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม โรงพยาบาลบางมด จะมาไขข้อข้องใจในทุกคำถามเกี่ยวกับการดึงหน้า ให้ได้เข้าใจกัน
Q : ทำไมร้อยไหมเป็น 10 รอบ หน้าก็ยังหย่อนคล้อย ?? ผ่าตัดดึงหน้าเลยดีหรือไม่ ??
A : หลายท่านมาปรึกษาหมอ ต้องการมีใบหน้าที่เด็กลง และส่วนมากเคยลอง วิธีต่าง ๆ เช่น ฉีด Botox, ร้อยไหม, Filler, Thermage, HIFU กันมาบ้างแล้ว สุดท้ายก็จะพบว่า วิธีเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ใบหน้าเด็กลงได้มากอย่างที่ใจคิด และผลที่ได้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว บางท่านร้อยไหมมาเป็น10 รอบ สุดท้ายใบหน้าก็ยังหย่อนคล้อยอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะครับ !!!!
เพราะการรักษาที่กล่าวมาข้างต้น เรียกว่า “non – invasive procedure” พูดง่าย ๆ คือ วิธีที่ไม่ได้ผ่าตัด ข้อดีคือ ทำง่าย สะดวกรวดเร็ว ไม่มีแผลผ่าตัด พักฟื้นไม่นาน และแก้ความหย่อนคล้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดีครับ แต่ข้อเสียของมันคือ ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยที่มาก ๆ ได้ และผลลัพธ์ที่ได้ ไม่คงทนถาวรครับ ดังนั้นวิธีเหล่านี้จึงเหมาะสำหรับ คนที่อายุไม่มาก ใบหน้าหย่อนคล้อยไม่มาก และที่สำคัญ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ผลที่ได้มันจะไม่ถาวรนะครับ เช่น ร้อยไหม 1-2 ปี ก็ต้องไปร้อยใหม่เรื่อยๆ, Botox 6-8 เดือนก็ต้องฉีดใหม่ เป็นต้นครับ
เปรียบเทียบกับ การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) ซึ่งถือเป็น “invasive procedure” คือ ต้องมีการผ่าตัด มีแผลผ่าตัด การบวมช้ำมากกว่า มีการพักฟื้นที่ยาวนานกว่า มีความเสี่ยงในการผ่าตัด จึงต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ข้อดีของมันก็มีมากมายเช่นกัน คือ การผ่าตัด สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ๆ ได้ สามารถเปลี่ยนแปลงใบหน้าได้มาก โดยเฉลี่ยอายุลดลงได้ถึง 10-20 ปี และที่สำคัญ คือ ผลลัพธ์ที่ได้คงทนถาวร มากกว่าวิธีอื่นๆครับ จึงเหมาะกับผู้ที่มีอายุมาก มีปัญหาความหย่อนคล้อยมาก ๆ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน และคงทนถาวรครับ
ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกรักษาด้วยวิธีใด เราควรรู้ข้อดี ข้อเสีย ของมันก่อนครับ จะได้เลือกได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจว่าผลลัพธ์ที่จะได้ ควรจะเป็นเช่นไรครับ
Q : คุณหมอคะ การผ่าตัดดึงหน้าด้วย “เทคนิคบางมด” มีข้อดีอย่างไรบ้างคะ ?
A : การผ่าตัดดึงหน้าด้วย “เทคนิคบางมด” กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ครับ
1. ฉีดยาชาเฉพาะที่ แทนการดมยาสลบ จะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จะไม่เสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนจากการดมยาสลบครับ
2. ใช้เวลาผ่าตัดเร็วขึ้นเพียง 2-3ชม. ทำให้เนื้อเยื่อบวมช้ำน้อยลง และเวลาพักฟื้น เข้าที่เร็วขึ้นครับ
3. ดึงหน้าในชั้นลึก (SMAS) ร่วมด้วย ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และอยู่คงทนถาวรมากขึ้นครับ
4. สามารถเลือกทำเป็นส่วน ๆ ที่มีปัญหาได้ โดยแบ่งใบหน้าเป็น 4 ส่วน ดังนี้
- ดึงหางตา (Temporal lift) เพื่อแก้ไขหางตาที่ตก ให้ยกขึ้น และแก้รอยตีนกา (Crow’ s feet) บริเวณหางตา ทำให้ใบหน้าส่วนบนตึงขึ้น โหนกแก้มยกสูงขึ้น
- ดึงหน้าส่วนกลาง (Midface lift) เพื่อยกโหนกแก้มขึ้น ทำให้ใบหน้าส่วนกลางตึงขึ้น
- ดึงหน้าส่วนล่าง (SMASectomy + plication) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องแก้ม (Nasolabial fold) ที่ลึกให้จางลง, แก้ไขร่องน้ำหมาก (Marionette line) ให้จางลง ทำให้ใบหน้าส่วนล่างตึงขึ้น ใบหน้าส่วนล่างที่หย่อน (Jowl) ถูกยกขึ้น ทำให้ดูเรียวขึ้นเป็น V-shape
- ดึงคอ (Necklift) ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง
Q : ลักษณะใบหน้าแบบไหน ที่ทำศัลยกรรมดึงหน้า (Full Facelift) แล้วได้ผลดีมาก ?
A : หลายคนคงสงสัยว่า ลักษณะใบหน้าของเราเหมาะที่จะทำศัลยกรรมดึงหน้าหรือไม่ ? ทำไมบางคนดึงหน้ามาแล้วดูไม่ค่อยแตกต่าง แต่บางคนทำแล้วกลับหน้าเด็กลงหลายสิบปี ???
ลักษณะใบหน้าที่เหมาะกับการทำศัลยกรรมดึงหน้า ทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี แตกต่างจากเดิมชัดเจน มีดังนี้
1. คนที่มีใบหน้าแคบ
เพราะระยะทางจากแผลผ่าตัด (ซึ่งอยู่บริเวณไรผมด้านข้าง) มาถึง ริ้วรอยต่าง ๆ บริเวณกลางใบหน้า มีระยะทางที่สั้น การผ่าตัดจึงทำได้ง่าย ดึงเพียงเล็กน้อย ความตึงก็ถึงบริเวณกลางใบหน้า ทำให้ลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ดี
2. คนที่มีผิวบางและอ่อนนุ่ม
ในการผ่าตัดจะสามารถดึงชั้นผิวหนังให้ตึงได้ง่าย และมากกว่าคนที่มีผิวหนา และแข็ง ตัวอย่างเช่น คนที่เคยฉีดสารต่าง ๆ ที่หน้า / เคยร้อยไหมหลายครั้ง / เคยผ่าตัดดึงหน้ามาก่อน จะมีพังผืดเกิดขึ้นในชั้นใต้ผิวหนัง ผิวจะแข็ง ทำให้การผ่าตัดดึงหน้าได้ผลไม่ชัดเจนเท่าคนที่ผิวบางและอ่อนนุ่ม
3. คนที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยมาก
มีริ้วรอยต่าง ๆ ชัดเจน (รอยตีนกา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เหนียงที่คอ เป็นต้น) ยิ่งมีริ้วรอยมาก การผ่าตัดก็จะทำให้เห็นความแตกต่างจากเดิมได้ชัดเจน
4. คนผิวขาว
เพราะโอกาสเกิดแผลเป็นนูน ในคนผิวขาวมีน้อยกว่าคนผิวสีเข้ม ดังนั้น แผลผ่าตัดจึงมักจะสวย และซ่อนรอยผ่าตัดได้ดีกว่า
Q : ก่อน และหลังทำศัลยกรรม “ผ่าตัดดึงหน้า” ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
A : การปฏิบัติตัวสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรม ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยครับ เพราะจะยิ่งช่วยทำให้การทำศัลยกรรม มั่นใจยิ่งกว่า และได้ผลดียิ่งขึ้น จะมีเรื่องที่น่ารู้อย่างไรบ้างนั้น มาดูกันครับ
การปฏิบัติตัวสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนทำศัลยกรรม
1. โรคประจำตัว
โรคที่ถือเป็นข้อห้าม คือโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น เลือดออกง่ายหยุดยาก ส่วนโรคทั่วไปอื่น ๆ เช่น ความดัน เบาหวาน ไทรอยด์ สามารถทำผ่าตัดได้ แต่ต้องควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะปกติให้ได้เสียก่อน ไม่ควรผ่าตัดในช่วงที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือมีการติดเชื้อของผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัด
2. ยา
หากทานยากลุ่มแอสไพริน ยาแก้ปวด เช่น Ibuprofen Diclofenac ฮอร์โมน วิตามิน คอลลาเจน สมุนไพรต่างๆ ควรงด 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด ยารักษาความดัน และเบาหวาน รับประทานได้ตามปกติ ไม่ต้องหยุดยา หากทานยาที่ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้ยาก่อนทุกครั้ง
3. การรับประทานอาหาร
ถ้าต้องทำผ่าตัดที่ใช้การฉีดยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ ทานได้ตามปกติ ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าต้องผ่าตัดโดยการดมยาสลบ หรือฉีดยานำสลบ ควรงดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
4. การดูแลตัวเองและอื่นๆ
งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อน และหลังการทำศัลยกรรมความงามใบหน้า ถ้าเป็นไปด้วยควรสระผมคืนก่อนทำศัลยกรรมความงามหรือช่วงเช้า ไม่ต้องแต่งหน้าในวันที่เข้ารับการปรึกษาแพทย์ หรือวันนัดทำศัลยกรรมความงาม
การดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรม
1. การดูแลแผลผ่าตัด
แผลผ่าตัดจะมีไหมเย็บขนาดเล็ก ซึ่งสามารถตัดไหมได้ ประมาณ 5-7 วันตามนัด ในกรณีที่เป็นไหมละลายนั้น ไหมจะละลายเอง ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน คนไข้สามารถทำความสะอาดหน้าได้ตามปกติ แต่ควรระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด แต่หากโดนน้ำก็ซับให้แห้ง
การดูแลแผล ให้ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดที่แผลและบริเวณรอบ ๆ เพื่อกำจัดคราบที่เกรอะกรัง แล้วทาครีมขี้ผึ้งฆ่าเชื้อเพื่อให้แผลมีความชุ่มชื้น วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็นหลังอาบน้ำ
2. การบวมและฟกช้ำ
ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด ควรมีเวลาพัก แล้วประคบเย็นโดยใช้น้ำแข็ง หรือ cold pack ประคบบริเวณรอบ ๆ แผลผ่าตัดบ่อย ๆ ตามต้องการเพื่อช่วยลดบวม และลดเลือดออก อาจใช้ผ้าบาง ๆ เช่นผ้าเช็ดหน้าวางรองที่แผลก่อน ตอนนอนหลับไม่ต้องประคบ
หลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้ว ให้ประคบอุ่นสลับเย็น ประคบได้จนถึง 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด หรือขึ้นกับอาการบวม การบวมและฟกช้ำมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันแรกซึ่งเป็นเรื่องปกติหลังผ่าตัด อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลง ประมาณ 70-80% เมื่อ 1 สัปดาห์ และสามารถยุบได้จนหายสนิท เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน
3. การทำกิจกรรม
สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณที่ทำผ่าตัด งดการยกของหนักช่วง 2-3 วันแรก ส่วนการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง โยคะ เริ่มได้ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด การออกกำลังกายที่ใช้แรงมากควรเว้นประมาณ 2 สัปดาห์
การรับประทานอาหารสามารถรับประทานได้ตามปกติ แนะนำให้ทานอาหารอ่อน ๆ ในช่วงแรกเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน หลีกเลี่ยงของหมักดอง แอลกอฮอล์ การสูบบุรี่ เพราะมีผลต่อการหายของแผล
4. แผลเป็น
ในช่วงแรกแผลจะมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ อาจมีรอยแดงบ้าง ต่อมาจะจางลงจนเป็นปกติได้ ช่วงแรกอาจมีความรู้สึกตึง ๆ แข็ง ๆ เนื่องจากเริ่มมีการปรับตัวของเนื้อเยื่อบริเวณแผล ซึ่งจะค่อย ๆ อ่อนนุ่มลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด การระคายเคืองบริเวณแผลซึ่งจะรบกวนการหายของแผลผ่าตัด
และทั้งหมดนี้ ก็คือการปฏิบัติตัวสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนทำศัลยกรรม และการดูแลตัวเองหลังการทำศัลยกรรม ทุกท่านสามารถ “มั่นใจยิ่งกว่า ที่โรงพยาบาลบางมด” ปรึกษาปัญหาความงามเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499 หรือที่
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE@ : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos