โดย นางสาวสุขใจ
ผู้หญิงหลายคนยังคงมีดินแดนลี้ลับที่พวกเธอยังไปไม่ถึง ได้แต่ได้ยินได้ฟังได้อ่านได้รับรู้จากคนอื่นมาทั้งนั้น ในวันที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นไปของวิถีธรรมชาติในเรื่องเพศ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ว้าวุ่นจะเหลียวซ้ายมองขวา หาเพื่อนสนิทคุย ก็ไม่สนิทใจนัก ครั้นจะฝากชีวิตทางเพศกับคู่ของตัวเอง ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมกับตัวเองนัก ใครเล่าจะรู้ จะเข้าใจผู้หญิงเราได้ดี
และแล้ว แสงสว่างที่จะพาเธอไปทำความรู้จักดินแดนลี้ลับที่ว่า ก็ปรากฎขึ้น เมื่อ “เสมสิขาลัย” มีข่าวอบรมเล็กๆ ชื่อว่า “เสริมสร้างสุขภาวะเพศหญิง” และข้อความต่อมาอีก 2-3 บรรทัดว่า “เพื่อชีวิตทางเพศที่เป็นสุขและปลอดภัย สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงได้แบ่งปันประสบการณ์สู่กันและกัน เสริมสร้างความมั่นใจให้สุขภาพทางเพศเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันของผู้หญิง” มีหมายเหตุว่า รับเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น โอ้โห ! นี่แหละน่าจะให้คำตอบเราได้
การอบรมเป็นไปอย่างเรียบง่าย และแสนสะดวกสบายในโรงแรมเล็กๆ กลางกรุง จำนวนผู้เข้าอบรมราว 10 คน จากที่เปิดรับสมัครไว้ 20 คน ก็บ่งบอกได้ว่า การคุยเรื่องเซ็กซ์สำหรับผู้หญิง ยังคงจำกัดอยู่ในวงเล็กๆ อยู่นั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่า หญิงสาวต่างวัย ต่างที่มา และความแปลกหน้า แต่กลับทำให้พวกเธอพร่างพรู เรื่องราว “ชีวิตทางเพศ” ของตัวเองออกมาให้รับฟังกันอย่างเปิดเผยที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตทางเพศ ที่ถูกสังคมตราหน้าว่า “สำส่อน” “แพศยา” “มักมากในกาม” อย่างมากถึงมากที่สุด กับอีกคนที่แบกเอาความไม่ประสี และแสนจะอ่อนประสบการณ์ทางเพศ จนหมดความมั่นใจที่จะมัดใจคนรัก หรือจะเป็นชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว หย่าร้าง ส่วนอีกคนปวดร้าวสาหัสกับการค้นพบตัวตนที่มีความสุขกับการรักร่วมเพศ ทั้งที่กำลังมีชีวิตรักที่แสนจะมีความสุขกับผู้ชายดีๆ สักคน
อาจเป็นเพราะการอบรมที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของผู้หญิงแต่ละคน ด้วยกระบวนการฟังอย่างลึกซึ้ง เมื่อใจคนฟังเปิด ใจคนพูดก็เปิดเช่นกัน
กิจกรรมกลุ่ม ได้ชวนผู้หญิงคิด และหาคำตอบว่า สารพัดปัญหาชีวิตทางเพศของพวกเธอ ล้วนมีที่มาจากค่านิยมทางสังคม และการเลี้ยงดูของครอบครัว หล่อหลอมให้ผู้หญิงมีชีวิตทางเพศที่ขาดๆ เกินๆ หาจุดสมดุลย์ได้ยาก และยังหาทางแก้ไขได้ลำบาก เมื่อสังคมยังปิดปากผู้หญิงในการพูดคุยเรื่องเพศ อาจมีการกระซิบพูดคุยกันเบาๆ ในหมู่เพื่อนวงเล็กๆ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องคาใจ และการปิดกั้นการรับรู้อย่างตรงไปตรงมา
การเลี้ยงดู และความคาดหวังจากความเป็นเพศ เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่ทารกน้อยคนหนึ่งออกจากจากท้องแม่ “จิ๋ม” ถูกทำให้ไม่เหมือน “จู๋”
“จิ๋ม” มีกรอบการใช้ชีวิตที่เน้นความปลอดภัยไว้ก่อน, อยู่ในโอวาท ไม่ต้องตั้งคำถาม, ปิดกั้นความรู้เรื่องเพศ, สรีระของตัวเองเป็นของต่ำ น่ารังเกียจ, เก็บความรู้สึก ไม่ต้องแสดงออก, ไม่กล้าตัดสินใจ, ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง, ไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง, ให้ความสำคัญกับความสวยความงาม ฯลฯ
“จู๋” ได้รับการยกย่อง, ให้ความสำคัญ, มั่นใจในตัวเอง, เป็นผู้นำ, เอาตัวเป็นที่ตั้ง, ยอมรับความล้มเหลวไม่ได้, บ้าอำนาจ, รักอิสระ, มุ่งมั่นกับความสำเร็จ การยอมรับ, ชอบใช้กำลัง, กล้าตัดสินใจ ฯลฯ
นั่นทำให้ผู้หญิงเรา ขาดความลงตัวเกี่ยวกับชีวิตทางเพศ ทั้งการวางตัวกับเพศตรงข้าม ความสัมพันธ์ การเลือกคู่ จนกระทั่งชีวิตรัก และการมีเพศสัมพันธ์
ใครจะเถียงหรือไม่ก็ตามแต่ กิจกรรมหนึ่งที่ลองให้ผู้หญิงพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อคำบางคำ เช่น “ความสุขทางเพศคืออะไร” “ชอบทำอะไรกับอวัยวะเพศของตัวเองมากที่สุด” “รู้สึกอย่างไรกับการมีเพศสัมพันธ์” รับรองได้ว่า ผู้หญิงทั่วไปต้องรู้สึก “อึ้ง” ไม่สบายใจที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ค่อยแน่ใจ ลังเล และสารพัดความรู้สึก แม้ว่าบรรยากาศของการพูดคุยจะดีแสนดียังไงก็ตาม
วิทยากรสาวจาก “มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง” คงเข้าใจผู้หญิงได้ดี จึงมีการเตรียมความพร้อมกันก่อน ให้ทุกคนเตรียมใจกับพบกับ Alarm Zone และเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เพื่อให้เราคุ้นชิน และเติบโตไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่
เอาละ คราวนี้ กระดาษขาว 2 แผ่น ที่ทุกคนได้รับแจก แผ่นแรกง่ายมากสบายกายสบายใจที่สุด กับโจทย์ที่ให้วาดภาพหน้าตาของตัวเอง เหลือบดูบางคนวาดเหมือน บางคนแม้ไม่เหมือนแต่ดูสวยเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น
แต่สำหรับกระดาษแผ่นที่ 2 สร้างความว้าวุ่นใจให้ผู้หญิงอีกแล้ว เมื่อวิทยากรบอกว่า ให้วาดรูปจิ๋มของตัวเอง ตามที่ตัวเองรู้จัก คราวนี้ผู้หญิงหลายคน นอกจากไม่กล้าชำเลืองดูว่าเพื่อนจะวาดยังไงแล้ว กับตัวเอง ก็ต้องคอยกระมิดกระเมี้ยน เอามือปิดป้อง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาวาดอย่างเขินอาย มือไม้สั่น และไม่สู้จะสบายใจนัก
ผู้หญิงเพิ่งประจักษ์แจ้งเดี๋ยวนี้เองว่า เธอให้ความรู้สึก “หน้า” กับ “จิ๋ม” ต่างกันราวฟ้ากับดิน หน้าต้องดูแล เอาใจใส่ ให้สุขภาพดี น่ามอง เป็นสิวสักเม็ดกลัดกลุ้มไปหลายวัน แถมบางคนยังยอมควักเงินจ่ายค่าบำรุงบำเรอหน้าตาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นดึงหน้า พอกหน้า นวดหน้า ทำสปา สารพัดที่จะลงทุนลงแรงทำให้หน้าเด้ง แต่กับ “จิ๋ม” กลับไร้การเหลียวแล ปล่อยปละละเลย ทิ้งขว้าง หวาดกลัว รังเกียจ ไม่กล้าแตะต้อง ทั้งที่อวัยวะทั้งสองส่วนล้วนอยู่กับผู้หญิงมาตั้งแต่เกิดพร้อมๆ กัน
อะไรทำให้ผู้หญิงทอดทิ้งสิ่งสำคัญของตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ?
ชวนคิด ชวนคุย กันจนรู้ว่า เพราะค่านิยมทางสังคม และทัศนคติยังไงละ ผู้หญิงไม่ควรรู้เรื่องเพศ ถึงเวลาแล้วจะรู้เอง จะรู้อย่างถูกต้อง หรือถูกบินเบือนยังไงก็ไม่รู้
การเลี้ยงดูแต่เด็กแต่เล็ก เด็กผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้สนใจ แตะต้อง จับสัมผัสอวัยวะเพศของตัวเอง ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงย่อมทำให้เด็กสาวตระหนกตกใจ ขวัญกระเจิงทั้งนั้น “เรากำลังจะกลายร่างเป็นมนุษย์วานรหรือเปล่า ทำไมมีไรขนขึ้นแถวๆ จิ๋ม ตายแล้ว ! มันเริ่มเยอะ ยาว และดกขึ้นด้วย” “น้ำอะไรนะ กางเกงในแฉะๆ ทั้งที่ไม่ได้ฉี่ออกมาสักหน่อย” “เลือดไหลออกมาจากไหนเนี๊ยะ” ตัวอย่างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนช็อค จากการถูกปิดกั้นความรู้เรื่องเพศ
ว่าแล้ว วิทยากรก็แจกกระจกส่องอันเล็กๆ ให้คนละอัน เอาไปส่องจิ่ม ทำความรู้จักจิ๋มของตัวเองซะ ในหมู่ผู้เข้าร่วมอบรมมีคนเคยตั้งอกตั้งใจดูจิ๋มตัวเองเพียงครึ่งเดียว ในจำนวนนั้นดูจิ๋มตัวเองครั้งแรกเมื่ออายุราวๆ 20 ปี คิดดูแล้วเศร้า ขนาดหน้าเราส่องกระจกทุกๆ 20 นาที แต่จิ่มใช้เวลา 20 ปี ถึงก้มลงไปส่องดู
คำสอน ข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องเพศ มันฝังแน่น ลึกซึ้งลงไปถึงจิตใต้สำนึก จนทำให้ผู้หญิงเซ็นเซอร์ตัวเอง ปิดกั้นการเรียนรู้เรื่องเพศโดยอัตโนมัติ
นั่นทำให้ผู้หญิงหลายคน ค่อยเอื้อมมือออกไปหยิบกระจกใส่กระเป๋า เราได้แต่หวังว่า เธอคงมีเวลาเหมาะๆ สักวัน ที่จะสำรวจจิ๋มของตัวเอง เผชิญหน้ากับจิ๋มอย่างกล้าหาญ
ความไม่รู้ หรือความรู้อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้หญิงไม่อาจรักษาสุขภาวะทางเพศของตัวเองได้ดีนัก เช่น การมีความสุขทางเพศ การป้องกันภาวะไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นโรค หรือการตั้งครรภ์ การตรวจภายในเพื่อหาสิ่งผิดปกติ ซึ่งทำให้ผู้หญิงหลายคนกลัว และวิตกกังวลมาก เมื่อต้องไปนอนขึ้นขาหยั่ง ให้หมอตรวจภายใน หญิงสาวที่ยังไม่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ตระหนกพอกัน ระหว่าง “จู๋” ของชายคนรัก กับ “เจ้าปากเป็ด” เครื่องมือตรวจภายใน เลือกไม่ถูกเลยว่าจะยอมให้อะไรล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอดได้ก่อนกัน
การเรียนรู้เรื่องเพศ ของผู้หญิง ไม่มีวันหมด และจบลง เพียงชั่วเวลา 2 วัน 2 เดือน หรือ 2 ปี เพราะไม่เพียงแต่ความซับซ้อนของสรีระ และความมหัศจรรย์แห่งจิ๋มแล้ว สิ่งที่ทำให้เป็นเรื่องยากในการเข้าถึงความรู้เรื่องจิ๋ม คงเป็นกำแพงขวางกั้นระหว่างกรอบความคิดที่ผู้หญิงถูกปลูกฝังมา กับความเป็นจริงแห่งจิ๋ม
ทุกคนรู้สึกดี ที่รู้ว่ามันมีกำแพงอยู่ กำแพงจะแกร่งแค่ไหน ใครจะทะลุผ่าน หรือก้าวข้ามออกไปอย่างไร ให้เหมาะสมกับสภาพของตัวเอง คำตอบคงอยู่ที่แต่ละคนแล้วละค่ะ
กระจกบานเล็กที่ได้ติดตัวมาจากการอบรม จะใช้ส่องหน้าทาปาก เพื่อให้ดูดี หรือจะเป็นกระจกบานแรกที่ใช้ส่องทักทาย และเริ่มค้นหาความมหัศจรรย์แห่งจิ๋ม อาจต้องขอเวลาให้เธอคิดอีกสักนิดค่ะ
ขอให้ผู้หญิงทุกคนมีชีวิตทางเพศที่เป็นสุขนะคะ