By Lady Manager
ยามแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ทว่านานวันเข้าน้ำตาลยังว่าขม… แล้วถ้าแต่งงานแล้วหลายสิบปี รักกันมาราบรื่นยันลูกเตรียมบวช สัมพันธ์ดั๊นมาขาดสะบั้นเอาง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ทัศนคติไม่ตรงกันล่ะ มันเกิดจากสาเหตุใดกัน น้ำตาลจะมาขมได้ ในวันที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มายาวนานขนาดนี้ได้จริงหรือ?
เช่นเดียวกับ อาร์โนลด์ ชวาสเซเนเกอร์ ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง อดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เพิ่งออกมาแถลงข่าวว่า ได้หย่าร้างกับ “มาเรีย ชริเวอร์” ภรรยาคนสวย ผู้เป็นหลานสาวของอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ.เคนเนดี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 25 ปี และมีลูกด้วยกัน 4 คน โดยทั้งคู่ไม่ได้ระบุถึงสาเหตุการแยกทาง มีเพียงแถลงการณ์ที่เปิดเผยข้อมูลว่า
“นี่คือ ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญสำหรับชีวิตส่วนตัว และอาชีพของเราแต่ละคน หลังจากขบคิด ไตร่ตรอง หารือ และสวดภาวนา เราก็มาถึงการตัดสินใจร่วมกันในครั้งนี้”
หรืออย่างฝั่งดาราไทย ตุ๊ก-ญาณี จงวิสุทธิ์ ก็ออกมาเปิดเผยว่าได้เลิกรากับสามีหนุ่มชาวอิตาเลียน แซม-เซอร์จิโอ อาร์เมนิโอ ปิดฉากชีวิตครอบครัว 20 ปีลงแล้ว ซึ่งสาเหตุการหย่าร้างมาจากความห่าง ที่ต่างคนต่างทำงาน จนทำให้ชีวิตคู่ขาดความหวือหวา อีกทั้งทัศนคติก็ต่างกัน แต่แม้จะเลิกกัน ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดี ยังคงทำธุรกิจร่วมกัน และช่วยกันเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวต่อไป
“สาเหตุของการแยกทาง ถ้าให้พูดสวยๆ คือ ทัศนคติไม่ตรงกัน แต่อยู่กันมา 20 ปี เพิ่งรู้ว่าทัศนคติไม่ตรงกัน(หัวเราะ) เอาเป็นว่ามันเกิดขึ้นด้วยเรื่องของความห่าง ความห่างมันทำให้คนเราต้องไกลกัน” ตุ๊ก-ญาณี ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อครั้งแถลงข่าวการหย่า
เรื่องราวแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในแวดวงคนดังหรอกนะ ชีวิตคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ก็เป็นเยี่ยงนี้ไม่น้อย จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ ชวนให้สงสัยนัก ว่าคู่รักที่คบกันมานับสิบปี เหตุใดสัมพันธ์จึงยุติลงได้ เราหอบความอยากรู้นี้ไปพูดคุยกับ แพทย์หญิง พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต คุณหมอใจดี มีคำตอบมาให้แบบเคลียร์ชัด แถมท้ายด้วยแนวทางแก้ไข ปรับความคิดเพื่อให้รักของคุณราบรื่น และยั่งยืน…
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็ก และครอบครัว เริ่มต้นเปิดประเด็นด้วยการให้คำตอบที่หลายคนสงสัย ว่าเหตุใดคู่ชีวิตมาราธอน ที่ร่วมหอลงโรงกันมานานวัน จึงเลิกรากันไปได้ ซึ่งเรื่องนี้คุณหมอว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ เพราะสามีภรรยาทุกคู่ ต่างก็มีช่วงเวลาเปราะบาง!
“สำหรับเรื่องนี้ ทางฝรั่งเขาก็มีการพูดถึงช่วงเวลาของการแต่งงานเหมือนกัน นั่นคือ เมื่อคนเราแต่งงานมานานเป็นสิบปี เขาก็ต้องผ่านช่วงเปราะบางมาหลายช่วงคือ ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ก็ต้องเจออะไรที่ไม่คาดคิดเยอะ ก็ปรับตัวกันมา จากนั้นก็มาเข้าช่วงที่เริ่มเบื่อๆ คล้ายกับว่าอะไรๆ ก็รู้จักกันหมดแล้ว เคยชินหมดแล้ว ประมาณ 7 ปี อาจจะเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ฉะนั้นก็จะเริ่มรู้สึกเบื่อ แต่ในที่สุดถ้าผ่านช่วงนั้น ก็จะเริ่มใช้ชีวิตคู่แบบมีความเป็นเพื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ
และพอมีความเป็นเพื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปสักพัก อายุที่คบกัน แต่งงานกันได้ประมาณสัก 10 ปีขึ้นไป เราจะพบว่ามันเป็นไป 2 ทางคือ กลุ่มหนึ่งจะมั่นคง เหมือนไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว คือ ผ่านกันมาหมดแล้ว จนไม่มีอะไรจะเคลียร์อีกแล้ว เพราะเหมือนเป็นเพื่อนกันแท้ๆ ไม่มีงอน บ้าบอแล้ว มันมีความเป็นเพื่อนสูงมาก
แต่อีกกลุ่มจะเริ่มพบว่า มันมีความเฉื่อย และเฉยชา กลายเป็นว่าในความเป็นเพื่อน มันลดความเสน่หาลงไปมาก กระทั่งมันไม่เหลืออีกแล้ว มันเหลือแค่ เจอก็เจอ ไม่เจอก็ไม่เจอ ไม่เป็นไร ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นมันไม่พอที่จะทำให้คนสองคนใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ว่ากลุ่มแบบนี้เราก็จะเห็นเลย ว่าเขาไม่ได้โกรธกัน ยังมีความเป็นเพื่อนเหลืออยู่บ้าง แต่มันไม่มีเสน่หาที่จะทำให้อยู่ร่วมกันอีกแล้ว มันจึงเกิดความคิดว่า จะอยู่ด้วยกันทำไม”
ทั้งนี้การเลิกรา อันเนื่องมาจากหมดเสน่หานี้ คุณหมอย้ำว่า ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการถูกแทรกแซงจากมือที่ 3 หรอกนะ
“การเลิกกันแบบหมดเสน่หานี้ มันต่างจากจากถูกแทรกแซงด้วยความสัมพันธ์นอกสมรสค่ะ แบบนั้นเราจะแยกเป็นอีกกลุ่ม อันนั้นคือ มีคนอื่น แล้วเป๋ แล้วเลิกกัน แต่ถ้าเลิกกันเพราะหมดความเสน่หา อันนี้คือ เมื่ออยู่นานไปแล้วในความเป็นเพื่อน มันจะนิ่ง จนเริ่มรู้สึกว่า ถ้างั้นไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ได้ และพอรู้สึกแบบนี้แล้ว เวลาที่อยู่ด้วยกัน มันจะรู้สึกอึดอัด เพราะมันมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ ทั้งเรื่องกฎหมาย เรื่องการจัดการสิ่งต่างๆ เลยกลายเป็นรู้สึกว่า พอไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วสบายกว่า สักพักก็จะรู้สึกว่า โอเค ถ้าอย่างนั้นเราต่างคนต่างอยู่ และรักษาแต่ความเป็นเพื่อนไว้ดีกว่า แต่หลังจากนั้นแต่ละคนก็มีโอกาสไปเจอคู่ใหม่ ตามอายุของตัวเอง”
สิ้นรัก ..หมดเสน่หา เพราะ “เซ็กซ์” !?
เมื่อรับทราบข้อมูลมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนแอบสงสัยว่า การเลิกกันเพราะไร้ซึ่งเสน่หานี้ เกี่ยวเนื่องมาจากเรื่อง 'เซ็กซ์' ด้วยหรือไม่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาของเราอธิบายว่า มีส่วนค่ะ
“จริงๆ เรื่องของเซ็กซ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยค่ะ เพราะพอมันไม่เสน่หา มันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เวลาอยู่ด้วยกัน อาจจะมีหรือไม่มีเซ็กซ์กันก็ได้ แต่ถึงแม้จะมี มันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น จะรู้สึกแค่ว่า ไม่มีก็ได้ เฉยๆ มันจึงเกิดเป็นการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่ได้มีความหมายอะไร
เพราะปกติถ้ารักกันปกติ เซ็กซ์มันก็จะเป็นการสื่อสารความรักแบบหนึ่ง เหมือนเป็นการคุยความรัก ผ่านความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน แต่ถ้ามาถึงจุดที่รู้สึกเฉยๆ มันจะกลายเป็นความเคยชินไปหมด ถึงมีเซ็กซ์ ก็เป็นเซ็กซ์ที่เฉยๆ ในฐานะสามี ภรรยา อาจจะไม่มีก็ได้ เพราะมันเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอยากจะมี”
ระวัง “รักล่ม” เมื่อทำธุรกิจร่วมกัน
หลายคู่เชียวค่ะ เมื่อรักกันหวานซึ้ง จึงลงหลักปักฐาน นอกจากจะสร้างครอบครัวร่วมกันแล้ว ยังสานฝันทำธุรกิจคู่กัน ทว่าแทนที่จะรักกันมากขึ้นเพราะช่วยกันทำมาหากิน แต่กลายเป็นเลิกกันซะงั้น! เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูลฝากเตือนมาว่า
“สามเรื่องที่สร้างปัญหาให้กับการครองคู่ หนึ่ง-เรื่องนิสัยใจคอ มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ทั้งคู่รับนิสัยแต่ละฝ่ายได้มากแค่ไหน บางนิสัยรับไม่ได้เลย โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบ หมอคิดว่า อันนี้เป็นสิ่งสำคัญเลย ที่หากปรับเข้าหากันไม่ได้ ในที่สุดมันจะเกิดปัญหา สอง-เรื่องเซ็กซ์ หรือเพศ และสาม-ก็คือเรื่องของเศรษฐกิจครัวเรือน
สำหรับเรื่องเศรษฐกิจครัวเรือนนั้น ประเด็นมันขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคู่มีวิธีการจัดการอย่างไร ถ้าชีวิตคู่มีเรื่องธุรกิจมาเกี่ยวข้อง มันก็จะซับซ้อนขึ้นอีกนิด เพราะส่วนใหญ่ถ้าทำธุรกิจ เหมือนธุรกิจครอบครัว มันก็มีทั้งส่วนที่ชัดและไม่ชัด ไม่เหมือนธุรกิจทั่วไป ซึ่งจะบริหารแบบหุ้นส่วน 100%
ดังนั้นพอเป็นธุรกิจแบบครอบครัว มันจะไม่แบ่งชัดเจน ถ้าคุณแบ่งเป๊ะๆ เหมือนหุ้นส่วนเลย มันก็อาจดูแปลกหน่อย แต่อย่างไรเสีย เรื่องนี้มันต้องมีการจัดสรรให้พอดี เพราะถ้าจัดสรรไม่ลงตัว ธุรกิจก็อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ในชีวิตครอบครัวได้ หลายครอบครัว เมื่อเรื่องธุรกิจยุ่งมาก มันก็อาจจะรู้สึกว่า เลิกกันดีกว่า”
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแต่ทำธุรกิจกับคนรัก หรือสามี-ภรรยาเท่านั้น แม้แต่เพื่อนที่สนิทกัน สัมพันธ์ก็อาจสะบั้นเพราะเงินๆ ทองๆ ได้เช่นกัน
“ทำธุรกิจกับแฟน หรือคนรัก ต้องบอกว่ามีความเสี่ยง ซึ่งจริงๆ เพื่อนสนิทเขาก็ไม่แนะนำแล้ว แต่ตรงนี้ถือเป็นข้อควรระวังนะคะ ไม่ได้ถึงกับเป็นข้อห้าม คือ มักจะมีการแนะนำไว้เลยว่าคนใกล้ชิด คนสนิท ระวังจะมาเจ๊งเพราะทำธุรกิจร่วมกัน เพราะเรื่องธุรกิจ บางเรื่องมันต้องตัดสินเด็ดขาด มันต้องมีวิธีเจรจา การจัดการที่เคร่งครัดชัดเจน ซึ่งหากเราสามารถแยกเรื่องบ้านกับธุรกิจออกจากกันได้ชัดเจน มันก็อาจจะดำเนินไปได้
ดังนั้นระยะหลังเราจะสังเกตเห็นว่า ธุรกิจครอบครัวก็เอาโมเดล (model) ธุรกิจจริงๆ มาจับเกือบหมดแล้ว มีการรับเงินเดือน มีการระบุว่าคุณอยู่ในตำแหน่งไหน จัดเข้าผังตามองค์กรให้ชัดเจน เพราะถ้าจัดสรรไม่ชัดมันอาจเกิดปัญหาได้”
“ทัศนคติไม่ตรงกัน” แค่ข้ออ้าง.. หรือสาเหตุการเลิกที่แท้จริง
ส่วนวาทกรรมหนึ่งที่ เราๆ ท่านๆ มักได้ยิน.. สาเหตุยอดฮิตของการเลิกกันว่าเป็นเพราะ “ทัศนคติไม่ตรงกัน” นั้นแท้จริงเป็นเพียงลมปาก ข้ออ้างหรือไม่นั้น ผอ.สาวแห่งสถาบันราชานุกูล อธิบายเสียกระจ่างว่า
“มีทั้งส่วนที่ใช่ และเป็นรายละเอียด เพราะเมื่อเลิกกัน เรื่องลึกๆ คงไม่มีใครเอามาแจกแจงโดยรายละเอียดหรอก แต่ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มันก็ต้องมีความเห็น หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกของเรามันห่างออกจากกัน ถ้าจะเรียกว่าตรงนั้นคือ ทัศนคติก็ได้ เพียงแต่ทัศนคติตรงไหนที่ไม่ตรงกัน เขาก็คงไม่อยากมานั่งแจกแจงให้ชาวบ้านฟัง
ดังนั้นคำนี้ มันอาจไม่ใช่คำพูดดูดีหรอก เพราะก่อนแต่งงานสิ่งที่เราเห็นมันก็เป็นมุมหนึ่ง แต่พอคุณแต่งไปแล้วคุณก็เห็นอีกอย่าง พอใช้ชีวิตร่วมกันไปนานขึ้น สถานการณ์มันเปลี่ยน มุมมองหรือตัวทัศนคติก็เปลี่ยนดังนั้นถ้าถามว่าอยู่ๆ แล้วเกิดเปลี่ยนไปหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าเปลี่ยน แต่ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนนะ มันต้องใช้ระยะเวลา ฉะนั้นเมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา มันก็ใช่เหตุผลจริงๆ ด้วย อีกอย่างที่เลือกใช้คำนี้ คงเพราะเขาไม่อยากพูดในรายละเอียดอย่างชัดเจนให้คนอื่นฟัง ว่าผมขัดแย้งและทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร ก็เลยใช้คำนี้ ที่เป็นคำกลางๆ ง่ายๆ
อันนี้เราพูดในฐานะผู้ชายปกติที่คิดจริงจังกับเรานะ ไม่ได้พูดถึงผู้ชายที่ไม่จริงจังกับเราแต่แรก ถ้าเขาไม่ตั้งใจจริงจังแต่แรก เขาก็พูดไปเรื่อยแหละ คือ เขาจะเลิกกับเราตั้งแต่วันแรกที่คบกันแล้ว เพียงแค่เขาไม่ได้พูดตั้งแต่วันนั้น แต่ถ้าเป็นการคบกันปกติ ก็คือ เขาอาจมีอะไรบางอย่างที่ไม่ตรงกับเรา และเขาคิดว่าไม่อยากพยายามกับสิ่งนี้อีก ก็เลิกกัน ฉะนั้นประโยคเหล่านี้ ถ้าเขาไม่ได้จริงจังแต่แรก มันก็อาจเป็นแค่คำพูดที่หยิบมาพูดเพื่อให้ดูดีก็ได้ แต่ในส่วนคนที่คบกันจริงจัง คำพูดนี้ก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆ”
หนทางพัด “ถ่านไฟเก่า” ให้กลับมาคุโชน
ฟังแล้วน่าใจหายกับหลากหลายปัจจัยที่อาจทำให้ความรักถึงทางตัน ทว่าคุณหมออธิบายให้ความหวัง ว่าแม้จะเลิกรากัน แต่ก็มีหลายคู่ ที่เมื่อห่างหายไป กลับมาเจอกันใหม่ ก็เกิด spark ติดประกายไฟ จนถ่านเก่าที่แทบมอด กลับมาคุโชนอีกครั้ง
“มีเหมือนกันค่ะ สำหรับคู่รักที่เลิกกันไป เพราะความหมดเสน่หา บางคนพอแยกกันสักพัก เหมือนเบรค ให้ไม่ต้องมีความเคยชิน พอไม่เคยชิน ต่างคนต่างอยู่ ไม่เห็นกัน ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว มันเป็นการเบรคความสัมพันธ์ พอเบรคสักพัก มันเหมือนเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ พอกลับมาเจอกันครั้งนี้ มันอาจรู้สึกมี เอ๊ะ! มันมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาใหม่ ทำไมเริ่มคุยกันสนุกอีกแล้ว ก็อาจจะกลับมาคืนดีกันได้ แต่กลับมาคราวนี้มันเป็นอีกขั้นแล้ว ไม่ใช่กลับไปเริ่มต้นเหมือนรักกันใหม่ๆ ก็อาจจะไปเป็นขั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกัน และเข้าใจกันไปเลย”
เมื่อเรื่องรักอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ทำให้สาวหลายคนกังวลใจ บ้างคิดเอง กลัวเอง ว่าอาจจะต้องเลิกรา จืดจางกับคู่ในไม่ช้า ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจึงให้หลักคิดช่วยคลายกังวล
“ผู้หญิงมักให้ความสำคัญกับชีวิตคู่ อันนี้คือรากแท้ๆ ของผู้หญิง และถ้าแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะทุ่มเท และให้ความสำคัญมาก ซึ่งการให้ความสำคัญนั้นดี แต่อย่าเอาความสำคัญนี้มาสร้างความกังวลใจ ถ้าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก็ให้รู้ว่า คนที่สำคัญคือ คู่ของเรา ดังนั้นก็ต้องหมั่นคุยกับเขา มีกิจกรรมที่ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์กันเสมอ ทำให้เรากับเขาสื่อสารกันตลอด อย่าให้กลายเป็นความเคยชิน ที่อยู่ก็ได้ ไม่อยู่ก็ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น สักพักความรู้สึกมันก็หลุดออกจากกัน”
ที่สำคัญ คุณหมอว่าเรื่องนี้ต้องย้ำให้ชัด ท่องกันให้ขึ้นใจ ว่าเมื่อเห็นคู่ของคนอื่นพัง ไม่ว่าจะคนดัง หรือคนข้างบ้าน.. มันก็ไม่ได้แปลว่า คู่คุณจะต้องเป็นไปตามนั้นซักกะหน่อย
“เรื่องชีวิตคู่มันเป็นเรื่องของคนทั้งคู่ มันตอบโจทย์ด้วยเราคนเดียวไม่ได้ มันต้องตอบโจทย์ร่วมกัน เพราะฉะนั้นเรากังวลไป เราก็ไม่รู้อนาคตหรอก มันอยู่ที่เรากับคู่จะเดินชีวิตความสัมพันธ์ของเราไปอย่างไร เวลาเห็นคู่อื่นไม่สมหวัง ก็ไม่ได้แปลว่าคู่เราจะต้องเป็นแบบนั้น เพราะคู่ของเขาไม่ใช่คู่เรา มันเป็นคู่ใครคู่คนนั้น ดังนั้นก็อย่าไปคิดเลย หมอว่า สู้ดูความสัมพันธ์ที่มันดำเนินไปดีกว่า อย่าไปกังวลมันมาก
ซึ่งอันนี้เป็นข้อควรระวังสำหรับผู้หญิงนะคะ ผู้หญิงบางทีก็ขี้กังวล ตั้งข้อสงสัยอะไรบางอย่างไปล่วงหน้า แต่ผู้ชายไม่มีวิธีคิดแบบนี้ แล้วบางทีเขาก็จะ 'งง' ว่าคุณเป็นอะไร เพราะเขาจะไม่เข้าใจ เวลามีเรื่องอะไรเราสามารถพูดคุยกับเขาได้ ไม่สบายใจ กังวลใจพูดได้ แต่ถ้าเริ่มพูดวนไปวนมา เขาก็จะเริ่มไม่เข้าใจว่าเอ๊ะ! เรื่องมันยังไม่เกิดนะ คุณจะคุยอะไรเรื่องนี้นัก กลายเป็นไม่เข้าใจกันไปอีก” คุณหมอพรรณพิมลแนะนำทิ้งท้าย
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net