คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
เราต้องยอมรับว่าเราประหลาดใจเมื่อทราบว่าคู่รักคนดังอย่าง…(ใครก็ได้ เลือกเอาสักคู่) ต้องมีอันเลิกรากันไป หลังจากควงคู่อย่างหวานซึ้ง 6 ปีและหมั้นหมายกันมา 2 ปี ซึ่งทำให้เราอดพิศวงไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้ และกลายเป็นว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นของธรรมดามากขึ้นทุกทีในสังคมปัจจุบัน นั่นก็คือ การอยู่ในขั้น “ดูใจ” กันอย่างยาวนานเพื่อให้แน่ใจว่า “คนนี้แหละ ที่ใช่”
คู่หนุ่มสาวยุคนี้ใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ เพื่อค้นหาให้รู้ว่าตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างไร และต้องการอะไรในชีวิตคู่ ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีกฎตายตัวอีกต่อไปแล้วว่านานแค่ไหนถึงจะเรียกว่านานเกินไปสำหรับการดูใจก่อนแต่งงาน
แต่สำหรับทุกคู่ที่พาตัวเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้สำเร็จในที่สุด ก็มีหลายคู่ที่เตียงหักหลังจากลงทุนหลายปีก่อนพบกับทางตันของความสัมพันธ์ ซึ่งนำเราไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า “ถ้าการแต่งงานเป็นอะไรที่คุณมองไปในอนาคต แล้วความสัมพันธ์อันแนบแน่นยาวนานก่อนแต่ง มันเป็นความคิดที่ดี หรือเป็นการเสียเวลาเปล่ากันแน่?”
ทำไมเราต้องรอ
จากการศึกษาวิจัยเร็วๆนี้พบว่า คนชั้นกลางซึ่งมีการศึกษาดีเป็นส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะ“ทำ” อะไรบางอย่างกับปริญญาราคาแพงของพวกเขาก่อนแต่งงานเป็นธรรมดา ก่อนที่จะขนหัวลุกกับการผ่อนรถผ่อนบ้านและมีลูก อันเป็นความจำเป็นในการลงหลักปักฐานและสร้างครอบครัว ซึ่งสำคัญกว่าประโยชน์สุขส่วนตัวไปแล้ว จึงเห็นได้ว่าคนชั้นกลางแต่งงานช้าลงทุกที
แต่คู่รักจำนวนมากเลือกที่จะย้ายเข้ามาอยู่กินด้วยกันก่อนมีพันธะผูกพัน ดังนั้นพวกเขาก็เสมือนเป็นคู่ผัวตัวเมียกันเรียบร้อยแล้ว
สิ่งสำคัญที่ผลักดันให้หนุ่มสาวหลายคู่แต่งงานกันในที่สุดก็คือ ความปรารถนาทางประเพณีของสังคมที่พวกเขาไม่อาจสั่นคลอนได้ นั่นก็คือ พวกเขาควรมีการผูกมัดกันอย่างถูกกฎหมายก่อนที่จะมีลูก
ทำความเข้าใจ
ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่รังเกียจแนวคิดในการรอคอยโอกาสอันควรกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเธอคิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเขา แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้แอบมีแนวคิดอย่างอื่นอยู่?
คุณจึงจำเป็นต้องคุยกับเขาในเรื่องนี้
“แม้คุณจะรู้สึกเหมือนคุณไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานในนาทีนี้ แต่มันก็สำคัญมากที่อย่างน้อยคุณต้องหารือกับเขาถึงลู่ทางสู่ประตูวิวาห์ภายในช่วงเวลา 18 เดือนของความสัมพันธ์” ดร.บาร์ตัน โกลด์สมิธ ผู้เขียน EMOTIONAL FITNESS FOR INTIMACY (ความเหมาะสมทางอารมณ์สำหรับความใกล้ชิด) กล่าว
“และจากนั้นก็ติดตามสถานการณ์ด้วยการประเมินความสัมพันธ์ทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าคุณทั้งคู่ยังอยากเห็นงานวิวาห์เกิดขึ้นอยู่”
แฮนนาห์ เซลิกสัน ผู้เขียน A LITTLE BIT MARRIED แนะนำว่า ผู้หญิงไม่ควรก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในฐานะคู่รัก อย่างการย้ายเข้าไปอยู่กินด้วยกันหรือใช้บัญชีเงินฝากร่วมกัน โดยไม่บอกคู่รักของคุณว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับการแต่งงานเสียก่อน
นั่นก็หมายความว่าถ้าเขาไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คุณก็ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ถึงแม้กรอบเวลาของเขาอาจแตกต่างกับของคุณ แต่มันก็เป็นการเปิดใจคุยกัน
“คู่รักจำนวนมากที่มีความสำพันธ์ระยะยาวก่อนแต่งงานแบบนี้ มักไม่สื่อสารความต้องการของกันและกัน และนั่นก็เป็นการพัฒนาปัญหาให้ใหญ่โตขึ้นทุกขณะ” แฮนนาห์กล่าว
ถ้าคุณวิตกว่าเขาอาจไม่เห็นด้วยกับความคิด เรื่องการแต่งงานของคุณละก็ โปรดระลึกไว้ว่า การเลิกราหลังจากควงกันมาหลายปี มันก็รู้สึกเจ็บปวดพอๆ กับการหย่าร้างนั่นแหละ โดยเฉาะอย่างยิ่งถ้าพวกคุณอยู่กินด้วยกัน ยิ่งอยู่กันนานมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นทางที่ดีที่สุด คือ คุณจงหาให้พบว่าคุณจะยืนอยู่จุดไหนจึงจะมั่นใจที่สุด
มันก็แค่คุยกันอย่างเปิดใจ (เปิดอกด้วยยิ่งดี) อย่าปล่อยให้อะไรต่ออะไรมันเนิ่นนานเกินไป
อ้อ และถ้าคุณอยู่ด้วยกันมานานชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว แต่ยังรอที่จะรู้สึกแน่ใจ 100% ละก็ ขอให้คิดใหม่ “ทุกการแต่งงาน คือ การผูกขาดทางกามอารมณ์ของคนคู่หนึ่ง” ซึ่งมันอาจเป็นข้อดีที่สุดของการแต่งงาน ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบระบบผูกขาด
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net