By Lady Manager
มิควรพลาด….กลับมาล้วงกันต่อในวันนี้ กับประเด็นต่อเนื่อง สารสวยสารพัดที่ฉีดเข้าร่างกาย แม้จะเด้งจริง ขาวจริง หน้าสวยเป๊ะ..จริง แต่คุ้มหรือไม่กับการเสี่ยงขนาดนั้น กับ หมออาร์ม-วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แห่ง Hertitude Clinic (เฮอร์ทิจูท คลินิก) กูรูความงาม ที่จะมาบอกเล่าข้อมูลจากประสบการณ์ตรง!
“จากประสบการณ์ตรงนะเลยครับ อย่างที่คนไข้เคยไปฉีดมา ซิลิโคน หรือ Aquamid เป็นสารเติมเต็มที่ทางยุโรปใช้กันอย่างถูกกฎหมาย แต่เราจะพบว่า ผิวของคนไข้พอ Aquamid เข้าไปแรกๆ สวยดีครับ แต่ผ่านไป 5 ปี ผิวของคนไข้เริ่มหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น แต่อะความิดจะแข็งเป็นก้อน คนไข้รู้สึกเลยว่าหน้าเหี่ยว และจะมีก้อนๆ โผล่ออกมา ดูหน้าประหลาด
และหากเติมเต็มเยอะเกินไป หน้าจะอูมหน้าตาน่าเกลียด กลมเป็นลูกบอล พอเติมไปแล้วเอาออกจากร่างกายไม่ได้ วิธีการเอาออกอย่างเดียวคือ ผ่าออก หรืออาจจะเอาเข็มอันใหญ่ๆ ทิ่มเข้าและดูดออกมา แต่ก็ไม่หมดอยู่ดี อย่างไรก็ตามต้องผ่าออก ไม่หมดอยู่ดี เป็นเรื่องยุ่งยาก” หมออาร์มเล่าให้ฟังถึงความน่ากลัวของพิษสารเติมเต็มกึ่งถาวร
อยากรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะคะว่า แล้วการฉีดสารเสริมสวยให้ขาวเด้งเด็กนั้น มีสารชนิดใดบ้างที่ผิดกฎหมาย ยังไม่ผ่าน อย.
สารต้องห้ามไม่ผ่านอย.
1)สารเติมเต็มกึ่งถาวร และถาวร
เช่น ซิลิโคนเหลว พวกนี้ถือว่าผิดกฎหมายทั้งหมด อย.ไทยไม่รับรอง เพราะถือว่าสารเติมเต็มที่ส่งผลต่อคนไข้เกิน 5 ปีขึ้นไป หรือ 5 ปีไม่สลายไป ถือว่าถาวร
สารเติมเต็มที่เรียกว่าซิลิโคนเหลว ทางการแพทย์เองก็ไม่มีที่ใช้ เพราะก่อให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวได้ เช่น ฉีดแล้วเกิดการไหล ห้อย ย้อย อักเสบ หน้าผิดรูป ทำให้หน้าตาประหลาดไปได้ เมื่อระยะเวลานาน บางคนอาจบอกว่า ก็สวยดีนี่ ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนนี้สวยครับ แต่อีก 5 ปี ล่ะ ไม่รู้ว่าจะสวยอยู่หรือเปล่า
เช่นเดียวกันกับสารเติมเต็มกึ่งถาวรอื่นๆ เช่น Aquamid ในประเทศไทยยังไม่ผ่านอย.เพราะเป็นสารเติมเต็มกึ่งถาวรมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายเกิน 5 ปี และสารเติมเต็มกึ่งถาวรเหล่านี้ หลักการของมันจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้นมา จึงเป็นการเติมเต็มที่ค่อนข้างจะถาวร
ส่วนสารเติมเต็มอีกอย่างที่เอามาเติมเต็มหน้าอก สะโพก อันตรายมาก มันเป็นฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร ถุงหนึ่งจะมีฟิลเลอร์อยู่ 100 ซีซี ปกติไฮยาฯ เข็มละ 1 ซีซี แต่ราคา 20,000 บาท ส่วนใหญ่พวกที่ไปฉีดจะเป็นพวกพริตตี้ หรือสาวประเภทสอง ถามว่าทำไมราคาถูก ฉีดทีไม่กี่หมื่น เค้าก็เอาราคาถูกเข้าว่า แต่บอกได้เลยว่า มันไม่มีทางผ่านอย.ได้
ประเด็นที่สอง ขนาดคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ฉีดยังต้องระวังผลข้างเคียงที่จะต้องเกิดขึ้นเลย เช่น ฉีดจมูกคนไข้ เราฉีดแค่ประมาณครึ่งถึง 1 ซีซี เรายังกลัวเลย ต้องคิดอยู่ตลอดว่ามันเยอะเกินไปหรือเปล่า ต้องระวัง ดูตลอดว่าจะเข้าเส้นเลือดคนไข้หรือเปล่า แน่นเกินไปทำให้ปลายจมูกเกิดอาการเนื้อตายตลอด
เราจะมีการระมัดระวังตลอดเวลา แต่คนเหล่านี้ไม่มีความรู้ ไม่ใช่คุณหมอ เที่ยวหิ้วสารเหล่านี้ไปฉีดตามคอนโด ตามบ้าน เป็นเพียงผู้ช่วยแพทย์ ถามว่าทำไมต้องใช้แพทย์ฉีด เพราะใบหน้าคนเรามีเส้นเลือดเป็นร้อยๆ เส้น คุณหมอจะรู้ว่าฉีดเข้าไปจะต้องไปหลบเส้นเลือดเพื่ออะไร เส้นเลือดนี้มันวิ่งอย่างไร แค่เรามองหน้าคนไข้ เราก็เห็นเส้นเลือดเต็มหน้าคนไข้ไปหมดแล้ว
การฉีดจมูก หรือฉีดร่องแก้ม เราใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 ซีซี เรายังกลัวแทบตาย อย่างผมกลัวจะแย่ เวลาฉีดต้องฉีดทีละนิดๆ ดูว่าเข้าเส้นเลือดคนไข้หรือไม่ ถ้าเรากลัวจะตกท่อ เรามักจะไม่ตกท่อ แต่ถ้าเราไม่กลัวเราจะตกท่อ เพราะเราไม่ระวังไงล่ะครับ แต่ฉีดหน้าอก เขาแนะนำให้ฉีดข้างละ 250 ซีซี จึงจะเพิ่มขนาดหน้าอกได้ ลองคิดดู มันจะก้อนเบ้อเริ่มมาก แถมฉีดโดยคนไม่มีความรู้ และเข้าเส้นเลือดไปเลยทั้ง 250 ซีซี จะเกิดอะไรขึ้น
ฟิลเลอร์เหล่านี้มันมีลักษณะเหมือนเจลคริสตัลใส ลักษณะเหมือนวุ้น พอเข้าสู่เส้นเลือดจะอุดเส้นเลือดทำให้เลือดไหวเวียนไม่ได้ อุดเส้นเลือดสมอง เกิดเป็นอัมพาต อุดเส้นเลือดหัวใจ หัวใจขาดเลือดตาย อุดเส้นเลือดที่ปอด เลือดไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ คนไข้ก็จะช็อก เพราะขาดอ็อกซิเจน ดังนั้นอันตรายมาก
หากจะฉีดหน้าอก หรือสะโพก ผมแนะนำว่า ไปทำ ไปผ่าตัดเสริมเลยดีกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ หากวันใดเกิดปัญหาขึ้นมา ก็แค่ดึงเอาถุงซิลิโคนออกมา มันไม่กระจายวงกว้างแบบฟิลเลอร์ แถมถูกกว่าด้วย ลองคิดดูครับ ฟิลเลอร์แบบถูกกฎหมาย 1 ซีซี เท่ากับ 2 หมื่นบาท แล้ว 200 ซีซี เท่ากับ 40 ล้าน บ้า! ใครจะฉีดให้” หมออาร์มกล่าวอย่างอารมณ์ดี
2) การฉีดสารกลูตาไธโอน
ฉีดกลูต้าฯ เข้าเส้นทำให้ผิวขาว ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทย ส่วนประโยชน์ที่แท้จริงในทางการแพทย์นั้นคือ เขานำมาใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหารในประเทศอิตาลี แต่ผลข้างเคียงคือ ทำให้ผิวขาวชั่วคราว
เพราะในทางการแพทย์นั้น เขาอนุญาตให้ใช้สารกลูตาไธโอนในปริมาณไม่มาก ซึ่งในเครื่องสำอางทั่วไปพบว่า มีการผสมลงไปบ้าง แต่เพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น โดยปริมาณนี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับข่าวการฉีดสารนี้เข้ากล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด ที่ใช้ปริมาณมากถึงประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อหลอด ซึ่งถือว่าอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ ที่สำคัญ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้
เพราะการได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก จะส่งผลให้หยุดการสร้างเอนไซม์เม็ดสีที่เป็นธรรมชาติของผิวคนเอเชียที่เป็นสีคล้ำ ทำให้ผิวคนเอเชียจากที่เคยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตได้มาก ก็ทำให้กรองได้ลดลง นอกจากนี้ หลังจากได้รับสารนี้ เม็ดสีในตาดำของคนเอเชียอาจจะกรองแสงได้ลดลง ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อจอประสาทตา
หากคลินิกผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนมาใช้กับผู้รับบริการนั้น ถือว่าเป็นความผิดข้อหาใช้ยาที่มีได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาในการดำเนินกิจการสถานพยาบาลตาม พ.ร.บ. ยา มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการโฆษณา สารกลูตาไธโอนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดปรับไม่เกิน 100,000 บาท
3) การฉีดเซลล์
“เช่น เซลล์จากแกะ ห้ามฉีดในประเทศไทย ยังไม่ผ่านการรับรองทางการแพทย์ ฉีดได้กรณีเดียวคือทำเพื่อการศึกษาวิจัย และทำให้โรงเรียนแพทย์ ทำแล้วไม่มีการเก็บค่าบริการคนไข้ ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาวิจัย เช่น การรักษามะเร็งเม็ดเลือดต่างๆ
ตามทฤษฎีแล้ว การฉีดเซลล์ได้ประโยชน์ 2 อย่าง คือ ฉีดเข้าผิวหน้าเราเชื่อว่าเซลล์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถไปเหนี่ยวนำหรือไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวเรามีการเติบโตขึ้นมาใหม่ได้ ริ้วรอยลดลง หน้าดูเด็กลงได้
อย่างที่สอง คือ ฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อหวังให้เซลล์ คือ เซลล์พวกนี้เก่งมีความสามารถ เช่น บริเวณไหนของร่างกายที่มีความเสื่อมโทรม เสื่อมถอย อักเสบ มีผล บาดเจ็บ เซลล์เหล่านี้จะวิ่งไปหาบริเวณเหล่านี้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เซลล์เทอราปีในประเทศไทย ในแง่ใช้ฉีด อย.ยังไม่รับรอง สังเกตได้ว่า พวกไฮโซหลายๆ ท่านอยากฉีดเซลล์ต้องบินไปถึงเยอรมัน หรือสวิสเซอร์แลนด์
และมีสเต็มเซลล์ชนิดหนึ่งที่ใช้ได้อย่างถูกกฎหมายคือ สเต็มเซลล์เพื่อการรักษามะเร็งเม็ดเลือด ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเองที่ผิดกฎหมาย ในอเมริกายังไม่เป็นที่ยอมรับ ถามว่าทำไม เพราะตอนนี้เซลล์เทอราปีเป็นความหวังใหม่ของการรักษาโรคที่ยังรักษาไม่หาย แต่ว่าการศึกษายังไม่พัฒนาไปถึงขั้นที่รับรองความปลอดภัยที่จะนำมาฉีดมนุษย์ได้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาวิจัย แต่ยังไม่มีการนำมาใช้จริงในคนไข้จริงๆ”
คุณหมออาร์ม ทิ้งประโยคให้ข้อคิดสาวอยากสวยไม่กลัวตายว่า
“บางทีเขาล่อด้วยราคา และการตลาดหมู่ เพื่อนฉีดแล้วสวย เสื้อผ้าซื้อมา 199 ใส่ไม่สวยโยนทิ้ง แต่หน้าเรามันอยู่บนหน้า โชว์ความผิดพลาดของเราไปตลอดชีวิต”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net