By Lady Manager
ปกติสาวเอเชียมักมีรูปร่างผอมบาง บางคนแบนราบเป็นไม้บรรทัด ทำให้สรีระแลดูไม่สวยงามเป็นลูกผู้หญิงสมบูรณ์แบบ เพราะ “หน้าอกเล็ก”
แต่ผู้หญิงโดยมากก็มักสะพรึงกลัวกับการขึ้นเขียงผ่าตัดเสริมอึ๋ม แถมการยัดซิลิโคนใส่หน้าอกยังเสี่ยงต่อการแข็งตัว เพราะพังผืดล้อมรอบหากไม่ได้นวด
ด้วยวิวัฒนาการรุดหน้า ปัจจุบันนี้จึงมีเทคนิคใหม่ในการเสริมอึ๋มแบบเป็นธรรมชาติด้วยไขมันตัวเอง ไม่ว่าจะบีบ จะจับ จะเค้น อย่างไรก็ยังให้ความรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ เสมือนนมจริงเลยทีเดียว
เทคนิค CAL คืออะไร?
Cal (Cell – Assisted Lipotransfer) ถูกคิดค้นขึ้นโดยมหาวิทยาลัยโตได ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกนำมาใช้ในการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาให้กับกลุ่มคนที่เป็นมะเร็งเต้านม แต่เนื่องจากระยะหลัง เทรนด์ในเรื่องของความงาม โดยเฉพาะการเสริมขนาดหน้าอกได้รับความสนใจมากขึ้น
ทีแรกการเสริมด้วยไขมันธรรมดา (Fat Transfer) มีข้อเสียคือ หลังทำไปแล้ว ไขมันที่ฉีดเข้าไปมีการสลายตัวสูง
ดังนั้นจึงมีการพัฒนา นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ร่วมกับการคัดเลือกสเต็มเซลล์ ผ่านกระบวนการทางห้องแล็ป มาผสมกับไขมันธรรมดา แล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย
ใช้ในการเสริมขนาดหน้าอกให้เหมือนจริง และเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งแปลกปลอม และวิธีนี้ยังนำมาใช้ในการเติมเต็ม (Lipofilling) ให้กับอวัยวะส่วนอื่นๆ อาทิเช่น สะโพก บริเวณขมับบุ๋ม คนที่หน้าเบี้ยว หรือใช้ในการเติมเต็มริ้วรอยส่วนต่างๆ บนใบหน้าได้ คล้ายการฉีดไขมัน แต่เป็นการนำเทคโนโลยีมาผสมผสาน ให้การฉีดไขมันประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
“ในปัจจุบันที่เป็นการยอมรับ หมอจะแบ่งการเสริมหน้าอกเป็น 3 เทคนิค อย่างแรกคือ การใช้ implant ผ่าตัดเสริมเต้านมแบบซิลิโคน คือ ถุงเจลกับถุงน้ำเกลือ และพื้นผิวที่อยู่รอบๆ จะมีลักษณะเป็นผิวเรียบ หรือผิวเนื้อทราย การใช้ซิลิโคน Implant ก็ยังถือว่าเป็นวิธีมาตรฐานอยู่” นพ.ฉัตรพงษ์ ศาสตร์สาธิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยแพทย์ แห่งนิรันดาคลินิก กล่าว
“การใช้ implant จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือง่าย การผ่าตัดใช้เวลาไม่นาน ไม่เกิน 1 ชั่วโมง หรือ 40 นาที แต่การมี implant ในร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งของอย่างหนึ่งในชีวิตคนเรา ถ้าใครผ่าตัดเสริมเต้านม จะต้องรับรู้ไว้กับตัวเองด้วยว่าในชีวิตหนึ่งจะต้องมีการผ่าตัดอีกครั้ง เพราะอาจจะมีปัญหาในอนาคตได้ เราต้องเลือกสถาบันที่น่าเชื่อถือได้ และสามารถดูแลเต้านมได้ตลอดไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการผ่าตัดในประเทศไทยค่อนข้างกว้าง จึงต้องรู้จักเลือกสถานที่และสถาบัน รวมถึงการเลือกยี่ห้อ ว่าแพทย์ใช้ยี่ห้ออะไรเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่
อย่างที่ 2 คือ การใช้ฟิลเลอร์ (filler) หรือสารเติมเต็มอื่นๆ แต่หมอขอบอกว่า ฟิลเลอร์มีสิ่งที่ยอมรับในปัจจุบันคือ Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารธรรมชาติเพื่อให้เกิดความอิ่มน้ำมากขึ้น แต่ถ้าเป็นไฮยาลูโรนิก แอซิด เพียวๆ การฉีดสารอะไรก็ตามต้องห้ามมีสารตกค้าง เพราะของเหลวไม่สามารถไปออกได้เมื่อมีปัญหา การฉีดสารเหล่านี้จึงแพงมาก 1 ซีซี ก็เป็นหมื่นแล้ว
เพราะฉะนั้นการใช้ในปริมาณมากต้องใช้เงินเยอะ สุดท้ายก็จะมีการยุบตัวลงไป พูดถึงความคุ้มค่าจะไม่มีเหตุผลเพียงพอจะไปทำตรงนั้น และหมอคิดว่าที่เขาใช้ฉีดหน้าอกคงจะไม่ใช้ของที่เพียวจริงๆ สักเท่าไหร่ เพราะมูลค่ามันไม่สามารถทำการตลาดได้”
ให้ความรู้สึกธรรมชาติ ไม่เสี่ยงมะเร็ง
ส่วนอย่างที่ 3 คือ การใช้ Cal (Cell-Assisted Lipotransfer)
“จริงๆ มีมานานแล้ว แต่ปัญหาของการฉีดไขมันเมื่อเอาออกมาจากร่างกาย หากเลือดไม่มาเลี้ยงเซลล์ก็จะถือว่าเซลล์ตายเมื่อนำมาฉีดในเนื้อเยื่อของตนเองก็จะมีเส้นเลือดเข้ามาเลี้ยง เป็นระบบใหม่ แต่ปัญหาของการฉีดไขมัน มันก็คือการยุบตัว เช่น 100% อาจจะใช้ได้แค่อย่างมากก็ไม่เกิน 60% เมื่อมี Cal
จริงๆ แล้วไขมันที่เราดูมาจะมีในส่วนไขมัน และในส่วนที่เป็นน้ำเลือดหรือส่วนอื่น เซลล์ต้นกำเนิดของไขมันก็จะอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว Cal ที่เราดูดออกมาซึ่งมันมีอยู่แล้ว ก็จะมีเซลล์ไขมันที่เราต้องการจริงๆ กับเซลล์ต้นกำเนิดไขมัน แล้วนำมาบวกกันซึ่งยังเป็นของเดิม แต่เอาของที่เราไม่ต้องการออกไป”
หมอฉัตรพงษ์พูดว่า ต้องมีเทคนิคการฉีดที่ค่อนข้างละเอียดเพื่อให้สัมผัสกับเนื้อเยื่อมากที่สุด ชั้นของการฉีดก็จะฉีดอยู่ในเนื้อไขมันกับใต้เนื้อนม
“เราจะไม่ฉีดอยู่ในเนื้อหน้าอก เพราะฉะนั้นไขมันก็จะยังอยู่ที่ชั้นไขมันเหมือนเดิม หรือชั้นเนื้อหน้าอก ซึ่งมันจะไม่อยู่ในเนื้อหน้าอก จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของมะเร็ง”
ไขมันส่วนที่เติมเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับหน้าอก ทำให้มีความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ ทั้งการมองเห็น และในแง่ของการสัมผัส อีกทั้งเมื่อทำเสร็จขนาดของหน้าอกจะใหญ่ขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์ที่คงทนถาวรจะต้องอดใจรอสักนิด เพราะไขมันจะยุบตัวลง 15-20 % หลังผ่านไป 3 เดือน ดังนั้นปกติแพทย์จะฉีดเต้านมให้ใหญ่กว่าขนาดที่คนไข้ต้องการเล็กน้อย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตรงความต้องการของคนไข้มากที่สุด
ขอแนะนำว่า ก่อนทำต้องศึกษาหาข้อมูลและตัดสินใจให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อน โดยมากด้านอายุที่เหมาะจะทำคือ อายุยิ่งน้อยยิ่งดี แต่ต้องบรรลุนิติภาวะด้วย สำหรับคนที่อายุมากไม่มีข้อห้าม แต่เซลล์ที่มีจะมีน้อยลง และที่สำคัญต้องดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
อยากอึ๋มเกิน 2 คัพไซส์ Cal ไม่ตอบโจทย์
ข้อจำกัดของการทำ Cal คือ ขึ้นอยู่กับไขมันที่คนไข้มี ถ้าคนไข้มีไขมันที่ไม่เพียงพอ เพราะไม่ใช่แต่ที่จะเอามาฉีดเท่านั้น ต้องนำมาทำแลปด้วย และไซส์ ถ้าคนไข้ต้องการเกิน 1-2 คัพไซส์ Cal อาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะฉะนั้นหากต้องการได้ใหญ่มาก จากที่มีน้อยต้องการใหญ่ค่อนข้างเยอะ ทางเลือกจึงต้องเป็นซิลิโคน
“แต่ซิลิโคนก็มีปัญหา เช่น การแข็งการเกาะตัวของพังผืด หรือมีการแตก อย่างที่หมอบอกหากใครผ่าตัดเสริมเต้านม จะต้องมีการผ่ารอบ 2 และ 3 ซึ่งเราต้องรู้ และแพทย์ต้องแจ้งให้คนไข้ทราบ”
หมอฉัตรพงษ์เผยถึงข้อจำกัดของ Cal ว่ามักเป็นเรื่องขนาด
“หากคนไข้เป็นคนผอม แต่ต้องการเสริมไซส์ใหญ่ๆ อาจจะทำไม่ได้ ในกรณีนี้อาจต้องใช้ซิลิโคนแทน หรือใช้การผสมผสาน นำเทคโนโลยี Cal มาใช้ร่วมกับการเสริมด้วยซิลิโคน คือ ใส่ซิลิโคนไปด้านในแล้วเติม fat ด้านนอก เพื่อทำเกิดความนุ่มมากขึ้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ด้วยว่าวิธีที่เลือกใช้จะตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้หรือไม่ และเลือกใช้วิธีที่ดีที่สุด
หรือบางคนต้องการทำ แต่ยังไม่มีไขมันที่จะดูดออกมามากพอ อาจต้องเสริมด้วยซิลิโคนไปก่อน แล้วให้ฮอร์โมนเสริม เพื่อรอให้อ้วน และมีไขมันมากขึ้น ค่อยเอาซิลิโคนออก แล้วค่อยฉีด ปัจจุบันก็มีทางเลือกให้กับคนไข้มากขึ้น
ข้อเสียอีกอย่างนึงของวิธีนี้ก็คือหลังฉีดไปแล้ว ประมาณ 3 เดือน อาจจะมีการสูญสลายของไขมันที่ฉีดเข้าไปได้บ้าง มีผลให้วอลลูมลดลง เช่น ฉีดไป 100% อาจจะอยู่ซักประมาณ 70-80% (การปลูกถ่ายไขมันธรรมดาจะมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียที่ประมาณ 30-40%) ขึ้นอยู่กับเทคนิคในการฉีดด้วย แต่วิธีนี้ไม่ได้ใช้กับคนไข้ในรายที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย สำหรับกรณีนั้นต้องมีการทำ Breast Lift”
ทั้งนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก ดร.นาโอโกะ สึจิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด สถาบัน Cellport Clinic Yokohama จากประเทศญี่ปุ่น บินตรงมาจากแดนซากุระ มาให้ข้อมูลด้วยว่า
“วิธีการโอนถ่ายไขมันนั้นมีมานานแล้วกว่า 30-40 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นมีบางรายที่ประสบผลสำเร็จ บางรายก็ไม่ประสบความสำเร็จ เหตุที่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้นเนื่องจากไขมันที่ฉีดกลับเข้าไปอยู่ได้ไม่นานก็สลายหายไป ในบางคนก็หายไปหมด แต่ Dr.Yoshimura ซึ่งเป็นหนึ่งในศัลยแพทย์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของมหาวิทยาลัยโตเกียว (Tokyo University) จึงได้รังสรรค์เริ่มคิดค้นทำการวิจัยเรื่องการโอนถ่ายไขมันให้ไขมันที่ฉีดกลับเข้านั้นอยู่ได้นานเท่านาน
โดยเริ่มแรก Professor Dr.Yoshimura เป็นผู้ริเริ่ม CAL ขึ้นมาเพื่อนำมาใช้รักษาคนไข้ที่ทุกข์ทรมาน หลังจากการรักษามะเร็งเต้านม คนไข้ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งนั้น บางส่วนอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการตัดก้อนเนื้อร้ายที่หน้าอกทิ้งเพื่อให้รอดชีวิต แต่อย่างไรก็ดีเมื่อไม่มีหน้าอกเหลืออยู่ หรือบางคนถูกตัดออกไปเพียงข้างเดียว ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ทุกข์ทรมานถึงความไม่สมบูรณ์ของร่างกาย ความโค้งมนและสัดส่วนของความเป็นผู้หญิงนั้นได้หายไปพร้อมกับโรคร้าย
ที่ผ่านมามีการใช้ซิลิโคนเสริมหน้าอกเพื่อการรักษา แต่ด้วยเหตุที่คนไข้เคยสัมผัสถึงทุกข์ทรมานมาก่อน จึงไม่อยากให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาไว้ในร่างกาย ทั้งนี้สัมผัสที่ได้จากซิลิโคนยังทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ ไม่รู้สึกเป็นธรรมชาติ ซิลิโคนเสริมหน้าอกจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย”
เลือกพื้นที่ดูดไขมันเสริมอึ๋ม
มาถึงกระบวนการของ CAL เพื่อเสริมขนาดหน้าอก ดร.นาโอโกะ บอกว่าต้องเลือกพื้นที่ที่จะทำการดูดไขมันก่อน ว่าจะดูดไขมันจากอวัยวะส่วนใด
“ส่วนใหญ่ในร่างกายของผู้หญิง มักจะใช้ไขมันจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขาด้านใน หรือไม่ก็ต้นขาด้านนอก โดยแพทย์จะต้องประเมินร่วมกับคนไข้ว่าต้องใช้ไขมันประมาณเท่าใด จากขนาดหน้าอกที่คนไข้ต้องการเสริม แต่เป็นเพียงการประมาณคร่าวๆ เท่านั้น ไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ เพราะต้องดูตอนสุดท้ายในห้องผ่าตัดด้วยว่า สามารถดูดไขมันได้มากน้อยขนาดไหน
หลังจากนั้นไขมันส่วนหนึ่ง จะถูกนำมาสกัดเป็นสเต็มเซลล์ อีกส่วนหนึ่งเป็นไขมันเพียวๆ ที่จะนำไปผสมเพื่อฉีดกลับเข้าไป การฉีดจะไม่ฉีดเข้าไปในเนื้อเต้านม แต่จะฉีดเข้าไปตรงบริเวณที่เป็นชั้นไขมันด้วยกัน โอกาสที่จำทำให้เกิดการต่อต้านจึงมีน้อยมาก ระยะเวลาที่ใช้ในการทำขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการดูด ขั้นตอนการคัดเลือกสเต็มเซลล์ ไปจนถึงกระบวนการการฉีดเต้านม จะอยู่ที่ประมาณ 3-4 ชม.
ในส่วนของเครื่องมือในการฉีดที่ต้องมีความละเอียดสูง และเทคนิคที่ดี ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ลักษณะการฉีดเซลล์ไขมัน ต้องฉีดให้เป็นเส้น มีลักษณะคล้ายการถักทอ ทำให้ไขมันกระจายออก ไม่จับตัวเป็นกลุ่มก้อน ในแต่ละจุดที่ฉีดจะใช้ปริมาณไขมันไม่เกิน 1 CC ต้องคำนึงอยู่เสมอว่าหลังฉีดไปแล้วต้องให้เส้นเลือดในร่างกายไปเลี้ยงเซลล์ที่อยู่ใหม่มากที่สุด จะฉีดเป็นก้อนๆ เหมือนซาลาเปาไม่ได้เพราะบริเวณที่ไม่มีเส้นเลือดไปเลี้ยงไขมันจะตายหมด รวมถึงต้องดีไซน์ว่าจะให้เต้านมออกมามีลักษณะรูปทรงแบบไหน”
การเตรียมตัว
ถ้าเป็นคนที่มีไขมัน หรือท้วมๆ อยู่แล้ว แต่หน้าอกเล็ก กรณีนี้ไม่เป็นปัญหา แต่ในคนที่ผอมมากๆ และต้องกินฮอร์โมนช่วย ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือนต้องหยุดกินฮอร์โมน เพราะจะมีผลในเรื่องการผ่าตัด การระมัดระวังเรื่องอื่นๆ เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไป เช่นต้องดูประวัติคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นยาที่รับประทานประจำ การแพ้ยา รวมถึงการรับประทานวิตามิน และอาหารเสริมบางอย่าง ต้องงดก่อนผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์
ผลที่ได้รับ
จะเห็นได้ทันทีว่าหน้าอกใหญ่ขึ้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ต้องรอดู ปกติไขมันจะยุบตัวลง 20-30 % หลังจากเดือนที่ 3 ไปแล้ว ขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละลาย ตอนฉีด จึงต้องฉีดเผื่อยุบด้วย อาจมีอาการบวมช้ำบ้าง แต่จะน้อยกับวิธีผ่าตัดเสริม เพราะฉีดอย่างเดียวไม่มีการเลาะ
ส่วนมากมักมีร้อยช้ำตรงบริเวณที่ดูดไขมันออกมากกว่า แพทย์จะตรวจเช็คเป็นระยะ เพื่อติดตามผล ปกติหลังทำไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปอาจมีการยุบลงได้บ้าง สามารถเติมได้ ถ้าคนไข้มีไขมันให้เติม แต่สิ่งที่แตกต่างจากการฉีดไขมันทั่วไปคือ เปอร์เซ็นต์ที่ไขมันอยู่รอดมีสูงกว่ามาก
*เก็บตกงานเปิดตัว Nirunda – Cellport Clinic Thailand
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net