By Lady Manager
“ด้านเลเซอร์ถึงจุดตันและอิ่มแล้ว สิ่งที่เขาพัฒนาต่อไปมันก็เริ่มกลับไปที่ Back To Nature”
หมอบุ้ง-พญ.สิรอัยย์กร น้าสุนีย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ความงามและเจ้าของคลินิก SK Clinics กล่าวถึงความเป็นมาของเทคนิค Vampire Facial Therapy
“สังเกตมั้ยเวลาเราเป็นแผลเซลล์ผิวใหม่ที่เกิดมันจะดีกว่าผิวเดิม ผิวจะใสกว่าเพราะเพิ่งสร้างใหม่” นั่นคือหลักการของ Vampire Facial Therapy นั่นเอง
ฮอตมากในฝั่งฮอลลีวูด กรรมวิธีนี้เป็นการฟื้นฟูเซลล์ ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ใบหน้าสวยอย่างธรรมชาติ
เป็นการใช้เลือดของคนไข้เองมาปั่นแยก ซึ่งเป็นกรรมวิธี Biotechnology ขั้นสูง ที่จะแยกเอาเซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่ในเลือดให้ออกมาในรูปแบบของเกล็ดเลือด PRP (Platelet-Rich Plasma) เพื่อกระตุ้นให้สาร Growth Factor และ Cytokines ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมในผิวที่เกิดปัญหา
จากนั้นจะนำสารเหล่านี้มาผสมกับ Hyaluronic Acid หรือ HA ที่เป็นสารธรรมชาติของร่างกาย แล้วฉีดเข้าไปเพื่อลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า และเติมเต็มผิวที่เป็นร่องลึก ทำให้เกิดการฟื้นฟูคอลลาเจนจากภายใน เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่จำนวนมากด้วยตัวเอง ทำให้ริ้วรอยและร่องลึกค่อยๆ เติมเต็มจากภายใน เป็นการฟื้นฟูผิวด้วยกลไกการสร้างเซลล์จากธรรมชาติของร่างกาย
ค่ะ ไม่ลองก็ไม่รู้ ถลกแขนเสื้อเตรียมเสียเลือด 10 ซีซี ด่วน!!
ช็อตต่อช็อต:ปฏิบัติการเสียเลือดแลกสวย
ขั้นตอนแรก -> ดูดเลือดมาปั่น
เจาะเลือดของเราออกมา 10 ซีซี จากนั้นเข้าสู่กระบวนการปั่นเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น
“ในเลือดของเราจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดและ ส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า พลาสมา (Plasma) เมื่อเราเจาะเลือดแล้วนำมาปั่นที่รอบความถี่เหมาะสม เราจะได้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดแยกออกมาเป็นชั้น
โดยชั้นที่เป็นเกล็ดเลือดเยอะเรียกว่า PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นชั้นที่จะนำมาใช้ เนื่องจากในเกล็ดเลือดเมื่อนำมากระตุ้นด้วยแรงปั่น จะทำให้หลั่งสารที่เรียกว่า Growth Factor สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์ได้ เช่น กระตุ้นการหายของแผล การสร้างหลอดเลือดใหม่ การสร้างกระดูก และการสังเคราะห์คอลลาเจน เป็นต้น”
ขั้นตอนที่ 2 -> ฉีดยาชาบล็อกหน้าบรรเทาเจ็บ
ทายาชาทิ้งไว้ทั่วหน้าประมาณ 20-30 นาที วูบแรกคิดว่าเพียงแค่ทายาชาเรื่องคงจะจบ เพราะคงไม่เจ็บอะไรนักหนา ปกติเป็นคนไม่กลัวเข็ม
“นั่นยังไม่พอทานความเจ็บ” เอ๊ะ! ได้ยินเสียงใครพูดแว่วๆ
หลังจาก 30 นาที คุณหมอฉีดยาชาซ้ำ บล็อก 6 จุด หน้าผาก 2 จุด ข้างจมูก 2 จุด คาง 2 จุด ฉีดตามแนวโพรงประสาท กล่าวแต่เพียงว่า เพื่อบรรเทาความเจ็บที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ขั้นตอนที่ 3 -> เจ็บสุดพลัง น้ำตาเล็ดเลือดสาด!
รู้ซึ้งทันที ว่าทำไมคุณหมอถึงกระหน่ำยาชา!
ขั้นตอนนี้ไม่จัดว่าอยู่ในโปรแกรมเเวมไพร์เฟซ แต่เนื่องจากเป็นคนรูขุมขนกว้างใหญ่ ทาแป้งทีไรลงไปกระจุกตัวอยู่ตามรูขุมขนเสมอ น่าอายนัก! รวมทั้งหลุมสิวจากการแกะสิวที่ทิ้งให้เจ็บใจ คุณหมอจึงทำการ Stamping ด้วย DermaPen บริเวณที่มีปัญหา เพื่อทำให้ผิวบาดเจ็บก่อนจากนั้นจึงฉีด PRP กลับเข้าไปเพื่อเป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้เร็วขึ้นนั่นเองแต่หากใครไม่มีปัญหาเรื่องหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยจ้า
“เลือดที่เห็นว่าเยอะเต็มหน้าไม่ได้เกิดจากการทำแวมไพร์เฟซแต่มันเกิดจาก Derma Pen ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แก้เรื่องหลุมบนใบหน้า เกิดจากเครื่องมือและการทำ Stamping ให้หน้าเกิดการบาดเจ็บก่อน แม้จะดูเลือดเยอะ แต่ไม่อันตรายเพราะไม่ได้ฉีดอะไรเข้าหน้าที่เป็น Chemical” คุณหมอบุ้ง กล่าว
ขอบอกว่า เจ็บสุดพลัง เกร็งตัว กำมือเเน่น! ยิ่งบริเวณหน้าผากเจ็บมากจนทนไม่ไหว เหตุเพราะเนื้อน้อยจึงเจ็บกว่าบริเวณอื่นนั่นเอง
ชมคลิป
ขั้นตอนสุดท้าย -> ฉีด PRP กระตุ้นสร้างเซลล์ผิวใหม่
มาถึงขั้นตอนของจริงคือ การฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) ที่ได้จากการนำเลือดไปปั่น ฉีดกระจายทั่วหน้า เน้นบริเวณหลุมสิว และบริเวณที่มีปัญหาริ้วรอย พร้อมประคบเย็นบรรเทาอาการเจ็บปวดรวดร้าว จากนั้นทา PRP ให้ทั่วหน้าเพื่อสมานแผล
“ผลมันอาจจะไม่ชัดมาก ถ้าเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นความแตกต่างได้ง่าย ร่องแก้มก็ดีขึ้น เพราะไม่ได้ใช้ PRP เพียวๆ ต้องไปผสมกับพวกโบท็อกซ์ (Botox) และเทคนิคนี้แล้วแต่หมอเลยค่ะ คือ ไม่ได้เป็นวิชาการ แต่เป็นศิลปะด้วย เช่น หมอ 3 คน คนไข้คนเดียวก็อาจจะผสมให้ไม่เหมือนกัน คนนี้จะฉีดโบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ดี แล้วแต่หมอว่า จะมองคนจะสวยเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแก้ปัญหาด้วย PRP ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเลือดของเราด้วย ถ้าเลือดดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง เลือดที่นำไปปั่นสกัดก็ดีขึ้นไปอีก วิเคราะห์เป็นรายๆ ไป
ในรายที่ชอบสังสรรค์ ปาร์ตี้ทุกวันอาจไม่เหมาะ เพราะเลือดไม่ดีมีแอลกอฮอล์ แถมต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ให้หน้าเจอสิ่งสกปรกติดเชื้ออีก จึงอาจไม่เหมาะกับคนที่ต้องออกงานบ่อย” หมอบุ้ง แนะนำ
หลังทำทันทีรู้สึกได้ว่า หนังหน้าแน่นบวมอืดมาก คุณหมอกำชับว่า 24 ชั่วโมงแรกห้ามโดนน้ำเด็ดขาด เลี่ยง แดด ฝุ่น เสี่ยงติดเชื้อ เพราะแผล และเลือดเต็มหน้า
*เกาะติดสถานการณ์รายวัน*
ขอถ่ายทอดประสบการณ์เล็กน้อย -> เมื่อก้าวเท้าเข้าบ้านเท่านั้นแหล่ะ คนในบ้านถึงกับผงะ แตกตื่นและสะพรึง “หน้าไปโดนอะไรมา ห๊า!” ไม่แปลกที่จะทัก เพราะหน้าใหญ่บานอวบอูมมาก บวม เป่ง ราวกับเนื้อจะแตก รู้สึกถึงอาการหน้าหน่วง ตึง แต่ไม่รู้สึกเจ็บมากเมื่อยาชาเริ่มหมดฤทธิ์
เมื่อเข้าสู่วันที่ 2 สามารถโดนน้ำ ล้างหน้าด้วยโฟมสูตรอ่อนโยนได้ อาการของบาดแผลและรอยเข็มจึงดีกว่าวันแรกเล็กน้อย เพราะน้ำได้ชะล้างเลือดออกไปบ้าง แต่ก็ยังกลัวตัวเองอยู่มากเมื่อเดินผ่านกระจก!
ย่างเข้าสู่ วันที่ 3 หน้าหายบวม รอยแดงรอยเลือดเริ่มจาง ทว่าความช้ำเขียวเริ่มปรากฏกายขึ้น และรู้สึกว่าผิวแห้งตึงมาก คุณหมอจึงกำชับว่าควรทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื้น
“จุดแดง จุดเขียวช้ำหลังจาก 24 ชั่วโมงถึง 3 วันก็จะดีขึ้นแล้วแต่คนไข้ 24 ชั่วโมงเริ่มหายบวม เริ่มยุบ แต่จะยังแดงอยู่ เพราะการ Stamping จะทำให้หน้าเราแดงประมาณ 3-5 วัน เลี่ยงการโดนแดด และหมั่นทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวที่บอบบาง
ห้ามใช้วิตามินเอ กรด AHA ครีมที่มีส่วนผสมของสาร Whitening เด็ดขาดมาทาหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวหน้าระคายเคือง” คุณหมอย้ำ
เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่สังสรรค์ ไม่ออกแดด ไม่กล้าพบเจอผู้คนมา 1 อาทิตย์เต็ม! พอครบ 7 วัน รอยแดงและช้ำเริ่มจางลง หน้ายังตึง และบวมอยู่ แต่สามารถเมคอัพรองพื้นกลบได้จนไม่เห็นรอยแดงและความช้ำให้เห็นแม้แต่น้อย สามารถเริงร่าท้าทุกคู่สายตาออกสู่โลกภายนอกได้อย่างมั่นใจ
ครบ 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้ รู้สึกผิวเรียบตึง ริ้วรอยจางลง รูขุมขนกระชับ ผิวฟูดูอิ่มขึ้น เพียงแค่ทาแป้งเด็กก็รู้สึกว่าหน้าเด้งใส แทบไม่อยากแต่งหน้า!
“หลักการของแวมไพร์ฯ จะดีขึ้นเรื่อยอาทิตย์ที่ 3 ถึง 1 เดือน จากนั้น 1 เดือนทำซ้ำอีกรอบ คล้ายๆ เป็นการฉีดวิตามินมากกว่า อย่าไปคิดว่าการทำแวมไพร์เฟซฯ จะเปลี่ยนหน้าเราไปเลย แต่จะช่วยในเรื่องการบำรุงมากกว่า
3-6 เดือนหน้าจะกลับมาในสภาพผิวปกติหากดูแลไม่ดี ตามหลักการควรฉีดติดต่อกันถึง 3 ครั้งในทุกเดือน หรือเดือนละครั้งนั่นเอง
คนที่เห็นผลชัดจะต้องมีอายุเยอะเล็กน้อย ประมาณ 40 ปีขึ้นไป จะเห็นผลชัดเจนกว่าคนอายุน้อย เพราะมีริ้วรอย และปัญหาผิวหน้ามากกว่า” คุณหมอ กล่าวปิดท้าย
จากผลการศึกษาพบว่าหน้าจะฟูเด้งได้ยาวนานถึง 15 เดือน
ขอบคุณ: SK Clinics สาขาสีลมที่กล้าให้เราทดสอบ พิสูจน์จะจะทุกขั้นตอน เพิ่อทำคอลัมน์ Before & After
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net