Celeb Online

รวมมิตรแฟชั่นฮอต…อำลาปี 2009


แม้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี 2009 แต่เรื่องแฟชั่นก็ยังไม่หยุดหมุนติ้วๆ ตามเข็มนาฬิกา ปีนี้มีทั้งเทรนด์ที่อินและเอาต์ ส่วนใครจะสวย เริ่ด เชิด ซ่า จนเป็นที่กล่าวขานแห่งปี มาย้อนกลับไปดูกัน !!

เจ้าหญิงแห่งแฟชั่น…พระองค์หญิงสิริวัณณวรีฯ

นับว่าปีนี้เป็นปีแห่งความปลื้มปีติยินดีของปวงชนชาวไทย เมื่อพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงสำเร็จการศึกษาจากภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2551 เกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง) ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.93 และทรงได้รับรางวัลนิสิตดีเด่นประจำปีการศึกษา 2551 หลังจากสำเร็จการศึกษา พระองค์ทรงเสด็จไปยังเมืองแฟชั่น เพื่อร่วมงานและเพิ่มเติมประสบการณ์การออกแบบเสื้อผ้ากับแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง จอร์โจ อาร์มานี ที่มิลาน ประเทศอิตาลี และทรงศึกษาด้านแฟชั่นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ในปีนี้ที่ผ่านมา พระองค์หญิงทรงจัดนิทรรศการ การแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์ “สิ่งที่คิด สิ่งที่เห็น” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำ มุมมองและแรงบันดาลพระทัยในการสร้างสรรค์ ผสานกับการประยุกต์แนวคิดทางศิลปะ เพื่อสื่อผ่านและถ่ายทอดไปยังผลงาน และล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พระองค์ทรงเผยโฉมคอลเลกชันใหม่ของแบรนด์ Siriwannawari คอลเลกชันประจำสปริง/ซัมเมอร์ 2010 ให้เหล่าคนไทยได้ยลโฉม

นอกจากพระปรีชาสามารถในด้านการออกแบบ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศแล้ว ปีนี้พระองค์หญิงยังมีรายชื่อติดอันดับราชนิกูลอันเป็นที่หมายปองที่สุดในโลก จากนิตยสารฟอร์บส์อีกด้วย โดยอันดับหนึ่งและสองยังตกเป็นของเจ้าชายแห่งเมืองผู้ดี เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี่ ส่วนเจ้าหญิงของปวงชนชาวไทยพระองค์นี้ ทรงอยู่ในอันดับที่ 6 โดยเลื่อนขึ้นมาจากอันดับที่ 16 เมื่อปีที่แล้ว ด้วยพระปรีชาในการออกแบบและความสนพระทัยในด้านแฟชั่น พระองค์จึงทรงเป็น “เจ้าหญิงดีไซเนอร์” ที่หลายคนขนานนามให้

พระองค์หญิงเคยประทานสัมภาษณ์ให้นิตยสารเปรียวปักษ์แรกเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถึงความสุขในการเป็นดีไซเนอร์ว่า “ความสุขของท่านหญิงก็คือว่า ทำอะไรก็ได้ที่เป็นอาร์ต ทุกลมหายใจของท่านหญิงเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่ใช่ดีไซเนอร์อย่างเดียว จริงๆ ท่านหญิงอยากให้คนเเรียกว่าเป็นอาร์ติสต์มากกว่าที่จะเรียกว่าเป็นดีไซเนอร์ด้วยซ้ำ แล้วทำอย่างไรให้ดีไซน์มันแข็งที่สุด นั่นคือเรื่องสำคัญ สิ่งเหล่านี้คือความสุขสำหรับตัวเอง”

“มิเชล โอบามา” แฟชั่นไอดอลแห่งยุค

สตรีหมายเลข 1 ของอเมริกาคนนี้ ถูกเทียบชั้นให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านแฟชั่นเทียบเท่าอดีตสตรีหมายเลข 1 แจ๊กเกอรีน เคนเนดี้ เลยทีเดียว ต่างแค่ว่า มิเชล เป็นหญิงอเมริกัน-แอฟริกัน มีผิวดำ ผมหยิกขอด แต่เธอกลับมีลุคและรสนิยมในการแต่งตัวชนิดที่ว่าคนผิวขาวต้องยกนิ้วให้

แม้มิเชลจะเปิดตัวครั้งแรกด้วยเดรสสีเลือดนกจากแบรนด์ Nasciso Rodriquwz ที่ไม่เข้าตากรรมการ แต่หลังจากนั้นเธอกลับเรียกคะแนนเต็มตื้นจนคนในวงการแฟชั่นยกให้เธอเป็นผู้หญิงแถวหน้าด้านแฟชั่น ด้วยลุคและการแต่งกายที่เริ่ดหรู การันตีด้วยผลโหวตจากนิตยสารวานิตี้แฟร์ให้เป็นผู้นำหญิงที่แต่งกายดีที่สุดในโลกประจำปี 2009

นอกจากความมีรสนิยม การวางตัว การแต่งกายแล้ว สตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้ยังเลือกประยุกต์ใช้จิตวิทยาในเรื่องแฟชั่นอีกด้วย มิเชล เลือกสวมชุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์เชื้อชาติต่างๆ แถมยังเปิดโอกาสแก่ดีไซเนอร์เลือดใหม่ของอเมริกา ออกแบบชุดให้เธอในแต่ละโอกาส ไม่ว่าจะเป็นดีไซเนอร์สายเลือดเอเชียอย่าง เจสัน วู, ฐากูร พานิชกุล หรือดีไซเนอร์สายเลือดอเมริกันที่เกิดในคิวบาอย่าง อิซาเบล โตเลโด และล่าสุด เธอก็เลือกให้ดีไซเนอร์เชื้อสายอินเดียออกแบบเดรสหรูสไตล์อินเดีย เพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรีและภริยาของอินเดียในโอกาสมาเยือนสหรัฐอเมริกา

แม้จะสวยเริ่ดทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม แต่บางครั้ง ไอดอลแฟชั่นคนนี้ก็มีผิดพลาดกันบ้าง โดยเฉพาะ ครั้งที่เธอเดินทางไปเข้าเฝ้าพระราชินีอลิซาเบธของอังกฤษ สื่อได้วิจารณ์การแต่งตัวของเธออย่างหนัก เนื่องจากเธอใส่แค่เสื้อคลุมธรรมดาที่ดูลำลองเกินงาม แต่กลายเป็นว่าเสื้อคลุมสไตล์นั้น กลายเป็นที่นิยมของสาวๆ ไปซะนี่

ดีไซเนอร์มือขึ้นแห่งปี 2009 “เจสัน วู”

คงเพราะได้แจ้งเกิดว่าเป็นดีไซเนอร์คนโปรดของ มิเชล โอบาม่า แบรนด์น้องใหม่อย่าง Jason Wu เลยดังเปรี้ยงปร้าง ในขณะที่แบรนด์รุ่นใหญ่หลายแบรนด์ต่างเจ๊งบ๊งและลดพนักงานไปตามๆ กัน แต่ Jason Wu กลับกระพือปีกขยายธุรกิจสวนกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเจ้าของแบรนด์สัญชาติไต้หวัน วัยเพียง 26 ปี เผยว่า ตอนนี้แบรนด์ Jason Wu เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอลเลกชันล่าสุดสไตล์รีสอร์ตของเขา ที่ส่งออกไปจำหน่ายเพียงอาทิตย์เดียวก็ขายเกลี้ยงสโตร์

ที่มาของความฮอตเปรี้ยงปร้างของดีไซเนอร์ชาวไต้หวันคนนี้ เกิดขึ้นจากผลงานการดีไซน์ชุดราตรียาวเปลือยไหล่สีขาวให้ มิเชล โอบามา สวมใส่ในวันฉลองรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ และก่อนหน้านั้น สตรีหมายเลขหนึ่งของอเมริกาคนนี้ ก็ได้ใส่เดรสสั้นเข้ารูปลายดอกไม้โทนสีเหลือง-น้ำตาล ของ Jason Wu ในวันดีเบตครั้งแรกของสามีกับ จอห์น แมคเคน เรียกได้ว่า Jason Wu เป็น ลัคกี้แบรนด์ของสตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้เลยทีเดียว

พอยอดขายพุ่งปุ๊บ แบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกปั๊บ หนุ่มเจสันก็ขอขยับขยายกิจการมาอยู่ในออฟฟิศกว้างขวาง ทิ้งห้องเล็กๆ ที่เขาลงมือทาสีเองครั้งยังเป็นดีไซเนอร์โนเนม เพื่อออกแบบคอลเลกชัน Pre Fall ของปีหน้าไว้แล้ว เจ้าตัวเผยว่า นับว่าปีนี้เป็นปีแห่งการเติบโตของแบรนด์เขา ไม่ว่าจะเป็นแต่ละคอลเลกชันที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจที่เติบโตขึ้น และเขาก็พร้อมที่จะกางปีกเพื่อบินสู่อนาคตอันก้าวไกลต่อไป

แฟชั่นกล้าๆ (บ้าๆ) ของ “เลดี้ กาก้า”

นับว่าปีนี้เป็นปีแจ้งเกิดของนักร้องสาววัย 23 ปี ที่ความเวอร์เรื่องแฟชั่นของเธอนั้นไม่น้อยไปกว่าเสียงเพลงเลย โดยเฉพาะ ครั้งที่อวดโฉมแฟชั่นโชว์บ้าระห่ำ บนเวที MTV Video Music Awards 2009 โดยเธอเปลี่ยนชุดถึง 4 แบบ 4 สไตล์ และล้วนแต่มีดีไซน์อันแสนพิลึกพิลั่น มาสร้างสีสันให้กับงาน

เริ่มจากช่วงเรดคาร์เป็ทบนพรมแดง เธอเลือกสวมชุดสีดำลูกไม้ของ Jean Paul Gaultier สวมหน้ากากปิดตาข้างหนึ่ง ส่วนชุดแสดงโชว์บนเวทีชีก็เลือกนำเลือดมาสาดท่วมตัว เพื่อให้เข้ากับเพลง Paparazzi ที่สื่อความหมายว่า ชีวิตส่วนตัวของเธอถูกทำลายจากเหล่าปาปารัสซี่ งานนี้เล่นเอาองค์กรต่อต้านการฆ่าตัวตายของอังกฤษนั่งไม่ติดพื้น เพราะเธอเล่นแสดงการฆ่าตัวตายได้อย่างสวยงาม ถือเป็นการเชิญชวนให้คนมาฆ่าตัวตาย ไม่เพียงเท่านั้นตอนรับรางวัล สาวกาก้าก็เลือกสวมชุดลูกไม้สีแดงคลุมทั้งหัวและตัว เรียกว่าโปร่งบางทั้งชุด มีเพียงอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋วปิดช่วงล่างเท่านั้น

ไม่เฉพาะโชว์ครั้งนี้เท่านั้น ที่สาวกาก้าโชว์ความบ้าทั้งการแสดงและแฟชั่น เพราะทุกๆ คอนเสิร์ตของเธอ มักจะมีโชว์พลังบ้าให้เห็นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นชุดเกาะอกที่มีพลุระเบิดตรงจุกหน้าอกทั้งสองข้าง แถมยังมีข่าวว่าเธอใส่ชุดโชว์บั้นท้ายอวบอึ๋มเดินเล่นให้คนเห็นต้องสยิวอีกด้วย ความฮอตของเธอแร๊งส์….ขนาดนิตยสาร Out Magazine ของสหรัฐอเมริกา จับเอาเธอมาลงปกประจำเดือนกันยายน ภายใต้คอนเซ็ปต์ว่า Gaga Goes Wind แปลงโฉมเธอเป็นแวมไพร์สาวเปลือยกาย ในท่าปิดหน้าอกพร้อมมีเลือดสาดอยู่ที่ขอบปาก

ส่วนใครที่ยังไม่รู้จัก เลดี้ กาก้า คนนี้ ควรรู้ก่อนตกเทรนด์ว่า เธอมีชื่อจริงว่า โจแอนน์ สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรี ตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 โดยเมื่อปีที่แล้ว เธอได้ออกผลงานเพลงชุดแรกในชื่อ The Fame ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ในวงการเพลงในรอบ 10 ปี ด้วยการนำซิงเกิลฮิตอย่าง Just Dance และ Poker Face ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ทั้งสองเพลง

เพราะเธอเด็ดทั้งฝีมือและความกล้า บ้าในทุกๆ สไตล์แบบนี้ ทำเอาวงการเพลงและแฟชั่นของโลกกลับมามีสีสันอีกครั้ง

รองเท้าสุดอลังการของ Alexander McQueen

หันมาดูผลงานแฟชั่นของดีไซเนอร์ปีนี้กันบ้าง แม้ว่าจะโดนพิษเศรษฐกิจรุมเร้าในธุรกิจแฟชั่น แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นจินตนาการของดีไซเนอร์ได้ โดยเฉพาะ กับสุดยอดดีไซเนอร์คนนี้ Alexander McQueen ที่สร้างสรรค์ผลงานไกลเกินกว่าจินตนาการของคนทั่วไปจะเข้าถึงได้ กับคอลเลกชัน Spring/Summer 2010 ที่ ปารีส แฟชั่น วีก เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขาได้ออกแบบชุดสุดอลังการ และรองเท้าดีไซน์สุดโต่งไว้ให้เหล่าแฟชันนิสต้าได้ตื่นตะลึง

คอลเลกชันนี้ ดีไซเนอร์คนดังได้แรงบันดาลใจมาจากภาวะโลกร้อน ที่สิ่งมีชีวิตได้รับผลกระทบอยู่ในปัจจุบัน และส่งผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นางแบบทุกคนจึงได้รับการแต่งหน้าแต่งตัวในลุคเอเลี่ยน เพื่อพยายามยื้อชีวิตให้รอดในยุคที่น้ำทะเลท่วมโลกและยุคที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เสื้อผ้าที่เขาได้ดีไซน์จะเน้นลวดลายพิมพ์ของสัตว์เลื้อยคลาน เกล็ดปลา และความหนาวเย็นยะเยือกของน้ำแข็งบนขั้วโลก และไฮไลต์เด็ดที่สำคัญของคอลเลกชันนี้คือรองเท้าดีไซน์เก๋ แปลกสุดโต่ง!!

รองเท้าในคอลเลกชันนี้ มีทั้งรูปแบบของโครงกระดูก รองเท้าส้นสูงลายหนังสัตว์สุดเฉี่ยว หรือแม้แต่รองเท้าบู๊ตประกายวิบวับดุจเกร็ดน้ำแข็ง ซึ่งต้องยกผลงานการสร้างสรรค์รองเท้าของแมคควีน คอลเลกชันนี้ให้เป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งแฟชั่นประจำปี 2009 กันไปเลย

“อัญชิสา วัชรพล” ขึ้นทำเนียบไฮโซเดินแบบงานชุก

วกเข้ามาบนแคตวอล์กเมืองไทยบ้าง ปีนี้นับว่าเป็นปีทองของเซเลบริตี้หน้าใหม่ เพราะไม่เพียงแค่วัดกันที่การเข้าร่วมงานสังคมไฮโซทั้งหลายแหล่แล้ว เซเลบริตีวัยทีนทั้งหลายยังได้อาชีพเสริมเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ให้กับแบรนด์แฟชั่นทั่วไปอีกด้วย และหนึ่งในสาวฮอตที่ขึ้นทำเนียบงานเดินแบบชุกที่สุด ต้องยกให้ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลวัชรพล อย่าง สาวมู่ลี่-อัญชิสา วัชรพล ลูกสาวคนเล็กของ อินทิรา วัชรพล และ ธานิน ตีรณสาร

นอกจากความสดใหม่ และใบหน้าที่สวยใสแล้ว สาวร่างอวบคนนี้ยังมีดีกรีการเป็นทายาทหนังสือพิมพ์หัวสียอดขายดีอันดับหนึ่งอีกด้วย เพราะไม่ว่างานน้อยงานใหญ่ หากได้สาวมู่ลี่ไปร่วมเดินแบบ ก็ต้องได้ลงในสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับนั้นแน่นอน ด้วยเหตุผลนี้จึงส่งผลให้สาวน้อยวัย 19 คนนี้ เป็นที่หมายปองของนักจัดอีเว้นท์และแบรนด์ค่ายต่างๆ เพื่อจะดึงสื่อมวลชนมาทำข่าวและแย่งชิงพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์ แม้ช่วงแรกลีลาบนแคตวอล์กของนางแบบจำเป็นคนนี้ จะยังไม่เข้าตากรรมการเท่าใดนัก แต่ทว่า เดี๋ยวนี้สาวมู่ลี่กลับมีลีลาการโพสต์ท่าที่ไม่เป็นรองนางแบบมืออาชีพ เรียกได้ว่างานเยอะ ประสบการณ์ก็แยะตามไปด้วย

แฟชั่นนิสต้าแก่แดด “ซูริ ครูซ”

เป็นถึงลูกพ่อทอม ครูซ กับแม่แคท-เคธี่ โฮล์มส์ ดาราแถวหน้าของฮอลลีวู้ด เซเลบริตี้ตัวจิ๋วอย่าง ซูริ ครูซ จึงได้รับการปรนเปรอและให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน มากกว่าเด็กวัย 3 ขวบกว่าทั่วๆไป ไม่ว่าจะทั้งเรื่องเรียน และแต่งตัว พ่อทอมออกปากว่าจะสนับสนุนให้ลูกสาวคนนี้อย่างเต็มที่

เพื่อให้ลูกเป็นอัจฉริยภาพเต็มขั้น พ่อทอมเลยขอทุ่มกับการเรียนของลูกอย่างหนัก จัดตารางเรียนอย่างแน่นเอี๊ยด (น่าจะเกินกว่าที่เด็ก 3 ขวบจะรับได้) โดยในแต่ละสัปดาห์ ซูริต้องเข้าคอร์สวิชาภาษาฝรั่งเศส สเปน เรียนศิลปะ ดนตรีอย่าง เปียโน ไวโอลิน เรียนเต้นรำทั้งบัลเลต์ แท็ป โมเดิร์นแดนซ์ เรียนยิมนาสติก และฟุตบอล แต่อย่างไรก็ตาม การมีคุณพ่อคลั่งลัทธิ Scientology ก็ทำให้เกิดปัญหาเรื่องหาโรงเรียนเตรียมอนุบาลให้ลูก ซึ่งแม่แคทเป็นผู้ชนะ เลือกโรงเรียนคาทอลิกให้ซูริเรียนในปีหน้า

เรื่องการศึกษาก็สุดเวอร์แล้ว แต่เรื่องแฟชั่นของสาวน้อยซูรินี่สิ ต้องเรียกว่า “เวอร์ตัวแม่” เพราะพ่อทอมสนับสนุนให้แม่แคทประโคมเสื้อผ้าให้ลูกสาวเต็มที่ ไม่ว่าคุณแม่จะไปชอปห้องเสื้อชื่อดังที่ไหน ก็ต้องมีเสื้อผ้าแบรนด์นั้นๆ มาฝากลูกด้วยเสมอ จนตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าของหนูซูริมีเสื้อผ้ารวมมูลค่ากว่า 3 ล้านเหรียญ แถมแฟชั่นของหนูซูริยังทำให้พ่อแม่ทั่วโลกต้องจับมาแต่งตัวให้ลูกสาว

มีรายงานว่า บริษัทแห่งหนึ่งในเมืองผู้ดีจัดทำโพลให้พ่อแม่ชาวอังกฤษกว่า 3,000 คน ช่วยโหวตว่า อยากให้ลูกๆ แต่งตัวเหมือนเซเลบริตีตัวน้อยคนไหนมากที่สุด และหนูน้อยซูริก็มีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยสามารถเบียดตำแหน่งลูกๆ ของครอบครัวผู้นำแฟชั่นอย่างครอบครัวเบคแฮม ลูกชายของแฟชั่นนิสต้าสาวอย่าง เกวน สเตฟานี่ หรือแม้แต่ Lourdes ลูกสาวเจ๊มาดอนน่าไปได้

แต่ไม่ว่าหนูน้อยซูริจะแต่งตัวได้เก๋เริ่ดแค่ไหน พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่หายแคลงใจว่า ทำไม๊ ทำไม คุณแม่ของหนูต้องให้หนูไว้ผมหน้าม้าปิดบังความน่ารักของหนูอยู่ร่ำไป

บ๊าย บาย “คริสเตียน ลาครัวซ์” ตลอดกาล

ในที่สุดศาลเมืองน้ำหอมก็ตัดสินให้แบรนด์ดังอย่างคริสเตียน ลาครัวซ์ ต้องปิดฉากความรุ่งโรจน์ลง เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทำเอาแฟชั่นนิสต้าหลายคนถึงกับช็อค แม้จะมีข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า แบรนด์ดังที่มีตำนานมายาวนานนี้ ขาดสภาพคล่องและถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทางซีอีโอของแบรนด์ก็ออกมาให้ข่าวว่า ทางแบรนด์ได้ยื่นพิทักษ์ทรัพย์ และกำลังหานักลงทุนมาซื้อกิจการ แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ต้องอวสานแบรนด์โอต์กูตูร์สุดหรูแบรนด์นี้ลง แต่ยังคงมีความหวังที่เสื้อผ้าเรดดี้ทูแวร์ ว่าจะมีใครมาช่วยฉุดขึ้นจากน้ำได้เท่านั้น

เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ดีไซเนอร์คริสเตียน ลาครัวซ์ ได้ไว้ลายฝีมือการออกแบบครั้งสุดท้ายของเขา พร้อมกับทีมพนักงานที่เหลือเพียง 11 คน จากที่เคยมีกว่า 100 คน กับ แฟชั่นโชว์ โอต์ กูตูร์ คอลเลกชัน Fall 2009-2010 แม้เขาจะขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นกับสีสัน แต่ทว่าคอลเลกชันนี้มีเพียงสีดำและสีเนวีบลูเท่านั้น ดีไซเนอร์คนดังบอกว่า นี่ไม่ได้เป็นการไว้ทุกข์ให้กับแบรนด์แต่อย่างไร เพียงแต่ในห้องเสื้อของเขาเหลือผ้าแค่ 2 สีนี้เท่านั้น แถมนางแบบที่มาเดินทั้ง 25 คน ก็ได้ค่าตัวเพียงคนละ 50 ยูโรเท่านั้นเอง

แม้ธุรกิจจะล้มเหลว แต่ทุกครั้งที่นางแบบเดินออกมาอวดโฉมฝีมือการออกแบบของเขา ก็จะได้รับการปรบมือจากผู้ชม ซึ่งล้วนแต่เป็นเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันใส่ชุดที่เขาออกแบบตั้งแต่คอลเลกชันแรกๆ เพื่อมาร่วมให้กำลังใจ ส่วนแฟชั่นโชว์ครั้งสุดท้ายของเขาจบลงพร้อมเสียงปรบมืออันกึกก้อง บ่งบอกว่า คริสเตียน ลาครัวซ์ จะยังอยู่ในดวงใจของผู้ที่รักงานโอต์ กูตูร์ ตลอดไป