Celeb Online

แพทย์ผิวหนังเปิด 5 เคล็ดลับทาครีมกันแดด เล่นน้ำสงกรานต์อย่างมั่นใจ ปลอดภัยจากมะเร็งผิวหนัง


>>แพทย์ผิวหนัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เผย 5 เคล็บลับการทาครีมกันแดด ให้พร้อมรับอุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือ 1. ทาครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ ขั้นต่ำที่ 50 (SPF 50) 2. ทาครีมกันแดดที่มีค่าพีเอระดับกลาง (PA+++) 3. ใช้ปริมาณครีมประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ 4. ทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง กรณีทำกิจกรรมกลางแจ้ง และ 5. ทาซ้ำทุกๆ 20 นาที กรณีต้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำ เพื่อให้การเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นไปอย่างสนุกสนาน มั่นใจ และปลอดภัยจากมะเร็งผิวหนัง อย่างไรก็ดี กรณีที่ประชาชนมีผิวคล้ำเสียจากการโดนแสงแดดทำร้ายผิวจนเสียสะสม เป็นฝ้า หรือกระแดด ควรงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่เสื้อคลุมแขนยาว และเลือกบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซี

ผศ.พญ.พัดชา พงษ์เจริญ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า จากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาในช่วงกลางเดือนเมษายน 2561 หรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่า จะมีอุณหภูมิสูงสุดที่ประมาณ 36-39 องศาเซลเซียส ดังนั้น กลุ่มประชาชนที่มีผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย จึงต้องระมัดระวังและหลบเลี่ยงแสงแดดเป็นพิเศษ เนื่องจากหากได้รับแสงแดดเป็นเวลานานและต่อเนื่อง จะส่งผลให้ผิวไหม้จากแสงแดด (Sunburn) ผิวมีอาการแสบร้อนและคัน ซึ่งใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่า 1 สัปดาห์ พร้อมกันนี้เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดเมลานิน (Melanin) หรือมีเม็ดสีเพิ่มขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ

ผศ.พญ.พัดชา กล่าวต่อว่า เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับแสงแดดที่อาจจะรุนแรงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยสามารถเล่นน้ำสงกรานต์ รวมถึงทำกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ ได้อย่างมั่นใจ จึงควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม และทาครีมกันแดดให้ครบทั้ง 5 ขั้นตอน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

• ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ขั้นต่ำที่ 50 (SPF 50) ค่าเอสพีเอฟ (Sun Protection Factor) จะเป็นข้อบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) ที่ส่งผลให้ผิวไหม้จากแดด หรืออาจจะรุนแรงถึงขั้นเกิดเป็นตุ่มน้ำใสๆ บริเวณผิว ซึ่งจะต้องทำการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น โดยควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ 50 ขึ้นไป ซึ่งมีส่วนช่วยดูดซับรังสีได้ถึง 98% ขณะที่พนักงานออฟฟิศที่ทำงานอยู่ในห้องแอร์เป็นส่วนใหญ่ สามารถเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟขั้นต่ำที่ 30 โดยตัวเนื้อครีมจะช่วยดูดซับรังสีได้ประมาณ 96.7%

• ทาครีมกันแดดที่มีค่า PA ระดับกลาง (PA+++) ค่าพีเอ (Protection grade of UVA) เป็นตัวบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVA) ซึ่งจะส่งผลให้ผิวแก่กว่าวัย ผิวเหี่ยวย่น รวมถึงมะเร็งผิวหนัง ดังนั้น ควรเลือกใช้ครีมที่มีค่าพีเอระดับกลาง (PA+++) หรือระดับสูงขึ้นไป เพื่อเป็นการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตบีในเบื้องต้น และเหมาะกับสภาพอากาศของไทยที่มีอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง

• ใช้ปริมาณครีมประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ การทาครีมกันแดดบริเวณผิวหน้าและลำคอแต่ละครั้ง จะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ เพื่อให้เพียงพอกับพื้นที่ดังกล่าว จากนั้นจึงทำการแต้มครีมกันแดดเป็นจุดๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยเนื้อครีมให้สม่ำเสมอและทั่วบริเวณ เพื่อให้เนื้อครีมสามารถทำงานและซึมเข้าผิวได้อย่างประสิทธิภาพ

• ทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง กรณีทำกิจกรรมกลางแจ้ง ครีมกันแดดโดยส่วนใหญ่ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันแดดเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ในกรณีที่จะต้องทำกิจกรรมกลางแดดเป็นเวลานาน จึงควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด รวมถึงจุดด่างดำจากฝ้า กระแดด หรือการสะสมของเม็ดสีบนผิว ซึ่งในระยะยาวอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

• ทาซ้ำทุกๆ 20 นาที กรณีต้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำ ครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำ หรือ Water Resistant จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันแดด และคุณสมบัติป้องกันเนื้อครีมถูกชะล้างไปกับน้ำได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น ทั้งจากการที่ทำกิจกรรมแล้วมีเหงื่อออก การดำน้ำ และการเล่นน้ำสงกรานต์ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเล่นน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์กับครอบครัวได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยจากแสงแดด จึงควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 20 นาที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อครีม และป้องกันการโดนทำร้ายผิวจากแสงแดด ที่อาจจะก่อให้เกิดรอยด่างดำ หรือฝ้าบนใบหน้า

อย่างไรก็ดี กรณีที่ประชาชนมีผิวคล้ำเสียจากการโดนแสงแดดทำร้ายผิวจนเสียสะสม ทั้งรอยฝ้า กระแดด จากการเล่นน้ำในเทศกาลสงกรานต์หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ควรงดการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ใส่เสื้อคลุมแขนยาว และบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและฟื้นฟูผิว เลือกรับประทานผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซี อาทิ กีวี สตรอเบอร์รี่ เสาวรส ส้มจี๊ด ฯลฯ หรือเลือกทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอย่าง วิตามินซีชนิดเม็ด ขนาด 1000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และปรับผิวให้กระจ่างใส ควบคู่กับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสมกับสภาพผิว ผศ.พญ.พัดชา กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังธรรมศาสตร์ (Thammasat skin center) โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โทรศัพท์ 02-926-9999 หรือติดต่องานสื่อสารองค์กร มธ. โทรศัพท์ 02-564-4493 เว็บไซต์ www.tu.ac.th