ที่ตีคู่มากับคำว่า ‘วัคซีน’ ตอนนี้ ก็ต้องเป็น Herd Immunity หรือ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ ที่หมายถึงสถานการณ์ที่สัดส่วนของประชากรมีภูมิคุ้มกัน (ทั้งแบบร่างกายผลิตเองตามธรรมชาติ หรือการได้รับวัคซีนป้องกันโรค) มีจำนวนมากพอจนเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่กระจาย หรือถูกส่งผ่านไปยังคนอื่นๆ ได้ ซึ่งทำให้ไม่ป่วยกันอีกต่อไป ไร้การการแพร่ระบาด ซึ่งจำนวนของประชากรที่จำเป็นต้องมีในการสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ นั้น มักจะอยู่ที่ 80 – 95%
แม้ว่าขณะนี้ จะมีเพียง อิสราเอล ประเทศเดียวในโลกที่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ได้เกิน 80% (เข็มแรก) และบรรดานักวิชาการด้านระบาดวิทยาทั่วโลก ต่างก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ สำหรับโรคระบาดครั้งนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นจริง ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกลายพันธุ์ การแอนตี้วัคซีนของประชาชน หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ฯลฯ
นักวิชาการจึงพยายามออกมาบอกว่า น่าจะเปลี่ยนจากการมุ่งสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ มาเป็นการมุ่งสู่ชีวิตที่ปกติกันให้เร็วๆ ดีกว่า ซึ่งหลายประเทศตอบรับแนวคิดนี้ด้วยการเปิดประเทศสำหรับการใช้ชีวิตและการท่องเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว
สหรัฐอเมริกา
แม้จะมียอดการติดเชื้อและผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันต้นๆ ในช่วงเข้มข้นของการระบาดเมื่อปีที่ผ่านมา แต่สหรัฐก็กลับมาได้อย่างรวดเร็ว โดยเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา โดยคนที่จะเดินทางมาจากนอกประเทศ ต้องมีเอกสารยืนยันการตรวจหาเชื้อ COVID-19 เป็นลบก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง หรือเพิ่งหายจากโรคนี้ไม่เกิน 90 วัน
ซีดีซี แนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ให้กักตัวเอง 7- 10 วัน หลังการเดินทางเข้ามาในสหรัฐ แต่ไม่ได้ซีเรียสมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ที่สาธารณะยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย และต้องเว้นระยะห่างทางสังคม
กรีซ
เมืองท่องเที่ยวอย่างกรีซ เริ่มเปิดประเทศมาตั้งแต่ 19 เมษายน ปีนี้ หลังจากความพยายามจะเปิดมาหลายรอบ และเพิ่งเปิดให้เรือท่องเที่ยวต่างๆ สามารถเทียบท่าได้ เมื่อ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยเรือสำราญเซเลบริตี ออกมาประกาศแผนจะออกจากกรุงเอเธนส์ไปยังเกาะแก่งต่างๆ ของกรีซในเดือนมิถุนายนนี้
บริการส่วนใหญ่เปิดให้บริการตามปกติแล้ว แม้ว่าจะมีเคอร์ฟิวระหว่าง 23.00 – 04.00 น. ทว่า ร้านอาหาร บาร์ และสถานที่ท่องเที่ยวแบบเอาต์ดอร์พร้อมให้บริการ โดยสามารถเดินทางเข้าประเทศกรีซได้โดยไม่ต้องผ่านการกักตัว ซึ่งต้องมีเอกสารผ่านการตรวจโรค COVID-19 หรือผ่านการฉีดวัคซีน (2 เข็ม) และต้องสวมหน้ากากอนามัย และต้องเว้นระยะห่างทางสังคมเช่นกัน
ไอซ์แลนด์
ใครอยากไปดูแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ จะต้องฉีดวัคซีนให้ครบโดส (เฉพาะยี่ห้อแอสตรา ซีเนกา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โมเดอร์นา ไฟเซอร์ หรือไบโอเอ็นเทค เท่านั้น) หรือคนที่เคยติดเชื้อ COVID-19 และร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ — ส่วนใครไม่มีคุณสมบัติข้างต้นต้องผ่านการตรวจหาเชื้อที่สนามบิน และต้องกักตัวรอผลตรวจที่เป็นลบ จึงสามารถออกไปท่องเที่ยวได้ แต่ในอีก 4 – 5 วันต้องกลับมาตรวจหาเชื้ออีกครั้ง
เซอร์เบีย
กลายเป็นจุดหมายปลายทางจัดทัวร์นำเที่ยวฉีดวัคซีน ทั้งๆ ที่คนในประเทศเซอร์เบียเองยังฉีดกันไม่ถึง 50% เลย แถมก่อนหน้านี้ คนยังออกมาประท้วงรัฐบาลที่มีนโยบายตึงเครียดเกินไปในการควบคุมโรค COVID-19 อีกด้วย
สถานท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมส่วนใหญ่เปิดให้บริการ เช่นเดียวกับภัตตาคาร กิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า ทุกๆ คนต้องสวมหน้ากากอนามัย และต้องเว้นระยะห่างทางสังคม
ตุรกี
ตุรกี เปิดพรมแดนสำหรับการเดินทางให้เกือบทุกประเทศ ยกเว้น บราซิล แอฟริกาใต้ และอินเดีย โดยคนที่เดินทางไปจากหลายๆ ประเทศไม่ต้องตรวจอะไรเลย อย่างเช่น จากฮ่องกง ไทย อิสราเอล ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ แค่ต้องกรอกเอกสารคัดกรอง ซึ่งหากไม่มีอาการของโรค COVID-19 ขณะที่เดินทางไปถึงก็ผ่านเข้าไปได้อย่างฉลุย
สหราชอาณาจักร
อังกฤษฉีดวัคซีนเข็มแรกไปได้ราว 50% แต่ก็เปิดให้ประชาชนสามารถรวมตัวกันได้ในที่สาธารณะ ร้านอาหาร ผับ บาร์ เปิดให้บริการเสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่สำหรับคนที่จะเดินทางไปสหราชอาณาจักร ยังต้องผ่านการกักตัวเอง 10 วัน (แต่มักไม่มีใครมาคอยเฝ้าติดตาม) และต้องมีการตรวจหาเชื้อ COVID-19 ในวันที่ 2 และ 8 ซึ่งการกักตัวอาจจะลดจำนวนลง เมื่อไม่พบเชื้อในการตรวจครั้งแรกก็ได้
มัลดีฟส์
เรียกว่าเป็นประเทศที่เปิดกว้าง สำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ขนาดนักท่องเที่ยวจากอินเดียก็ยังไม่ห้ามเลย โดย มัลดีฟส์ เริ่มเปิดให้เข้าไปเที่ยวมาตั้แต่กรกฎาคมปีที่แล้ว
จะเข้ามัลดีฟส์ ต้องมีผลตรวจ COVID-19 ภายใน 96 ชั่วโมง และต้องกรอกเอกสารคัดกรองด้านสุขภาพก่อนเดินทาง 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ จะต้องมีหลักฐานการจองที่พักตลอดระยะเวลาที่จะพำนักในมัลดีฟส์
อิสราเอล
วันที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา อิสราเอล ประกาศเปิดประเทศสำหรับการท่องเที่ยวและธุรกิจ โดยต้องมีเอกสารผ่านการตรวจ COVID-19 ภายใน 72 ก่อนเดินทาง หรือผู้ที่เพิ่งหายจากการติดเชื้อ และผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว เข้าไปเที่ยวได้อย่างเสรี ส่วนคนที่คุณสมบัติไม่ครบ ต้องผ่านการกักตัวอย่างน้อย 10 วัน ในศูนย์ที่รัฐจัดให้ รวมทั้งโรงแรมหรือที่พักส่วนตัว
แม้อิสราเอลจะฉีดวัคซีนไปมากกว่า 80% แล้ว แต่ก็ยังมีกฎให้สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
จอร์แดน
จอร์แดน เปิดประเทศให้เข้าไปท่องเที่ยว สำหรับคนที่มีหลักฐานการตรวจโรค COVID-19 ภายใน 72 ก่อนเดินทางเช่นกัน หรืออาจจะเลือกไปตรวจที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ค่าธรรมเนียม 39 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป) คนที่มีผลเป็นลบไม่จำเป็นต้องกักตัวแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในจอร์แดนต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ และธุรกิจหลายแห่งปิดทำการเร็วกว่าปกติ (19.00 น.)
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เปิดประเทศมาตั้งแต่กรกฎาคม ปีก่อน โดยต้องแสงดเอกสารผ่านการตรวจโรค COVID-19 ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง และยังต้องไปตรวจก่อนเข้าเมืองอีกครั้ง ซึ่งผลจะออกในเวลา 90 นาที แม้ว่า จได้ผลเป็นลบก็ต้องกักตัวเป็นเวลา 10 วัน และต้องตรวจซ้ำอีก 2 ครั้งระหว่างกักตัว
อียิปต์
การท่องเที่ยวอียิปต์เปิดมาตั้งแต่กรกฎาคม ปีที่แล้ว เช่นกัน แม้ว่าบรรยากาศจะดูเงียบๆ ก็ตาม ซึ่งทุกคนต้องมีใบตรวจ COVID-19 ก่อนเดินทาง 72 – 96 ชั่วโมง และต้องซื้อประกันสุขภาพระหว่างเดินทางเอาไว้ด้วย