Celeb Online

"จางหยี่หมิง" ผู้ก่อตั้งติ๊กต่อกบอก "วิบากกรรมเรื่องจิ๊บๆ"


ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชันติ๊กต่อก เจ้าของบริษัท ไบต์แดนซ์ อย่าง จางหยี่หมิง แม้จะอยู่บนเส้นทางมหาเศรษฐี ตามติด หม่าหัวเติ้ง แห่งเทนเซนต์ และเจ้าพ่ออาณาจักรน้ำดื่ม จงชานชาน มาติดๆ แต่ด้วยความดังและร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ถูกกดดันจากทุกทาง


โดยเฉพาะเมื่อปีที่ผ่านมา ความนิยมในแอพพลิเคชันติ๊กต่อก ส่งให้บริษัท ไบต์แดนซ์ กลายเป็นสตาร์ทอัพที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก ทำให้อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบายกีดกันทางการค้าจากจีนนั้น จับตามองเป็นพิเศษ ขณะที่ในจีนแผ่นดินใหญ่เอง ก็เป็นที่รู้กันว่า เสรีภาพในการใช้โซเชียลมีเดียนั้นค่อนข้างจะถูกจำกัด นอกจากนี้ ที่อินเดีย แอพพลิเคชันของ ไบต์แดนซ์ บางตัวก็ถูกขึ้นบัญชีดำ

มหาเศรษฐีวัย 38 ต้องสรรหาวิธีร้อยแปด ที่จะทำให้ธุรกิจของเขาดำเนินต่อได้ และอย่างเจริญงอกงาม ยุทธวิธีแรกคือการยอมขายหุ้นออกไปบ้างในราคาที่ยั่วยวนใจ ทำให้ได้เงินทุนกลับมามากมายมหาศาล ขณะที่เขายังคงถือหุ้นส่วนใหญ่เอาไว้ได้


ไบต์แดนซ์ นอกจากจะโดดเด่นที่แอพพลิเคชันติ๊กต่อก ที่ผู้คนเข้ามาแบ่งปันวิดีโอสั้นๆ ในรูปแบบของโซเชียลเน็ตเวิร์กแล้ว ยังมีวารสารออนไลน์ โตวเตี่ยว ที่สร้างรายได้จากโฆษณาแบบอี-คอมเมิร์ซ และเกมออนไลน์ ซึ่งปีที่ผ่านมากอบโกยเงินให้บริษัทเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“จางหยี่หมิง เป็นคนที่มองกาณ์ไกล เขาวางแผนทาทางออกทางนั้นทางนี้เสมอ ฉันคิดว่า แม้จะถูกบีบจากหลายทาง เขาก็ไม่มีทางพบกับทางตันอย่างแน่นอน” หม่าหรูอี้ คู่ค้าจากบริษัทซินแอพติก เวนเชอร์ส์ บอกอีกว่า “เขาวางรากฐานของบริษัทระดับโลกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”

หลังจาการระดมทุนครั้งล่าสุด ไบต์แดนซ์ สร้างมูลค่าได้ถึง 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีก่อนที่บริษัทมีมูลค่าเพียง 20,000 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าบรรดานักลงทุนจะคาดหวังให้มีมูลค่ามากกว่านั้นอีกเท่าตัวหนึ่งก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นเวลาที่ยากลำบากของบรรดามหาเศรษฐีชาวจีน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจฟินเทค ที่การแข่งขันสูงมาก แค่เฉพาะบริษัทชั้นนำก็ปาเข้าไป 30 กว่าบริษัทแล้วที่ต้องออกมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกัน ซึ่งนอกจากการแข่งขันทางการค้าแล้ว ในฐานะที่เป็นโซเชียลมีเดีย พวกเขายังต้องต่อสู้กับการจับตามองอย่างใกล้ชิดของรัฐบาล แถมตอนนี้ยังพ่วงการบีบอัดจากรัฐบาลสหรัฐ รัฐบาลอินเดีย และอาจจะอีกหลายรัฐบาลในโลก

“ผมว่า มันเป็นการเล่นเกมรังแกกันโง่ๆ ถ้าทรัมป์จะไปแบนติ๊กต่อกในอเมริกา” เคิร์ก บูดรี้ ผู้ก่อตั้งเรดเด็กซ์ โฮลดิงส์ บริษัทวิจัยการลงทุนกล่าว


จางหยี่หมิง เกิดที่จังหวัดฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของจีน ในครอบครัวข้าราชการ เขาเรียนจบมาทางด้านคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยนันไค ในเทียนจิน ที่ซึ่งเขาฉายแววความอัจฉริยะในด้านนี้ ด้วยการก่อตั้งชุมชนออนไลน์ในมหาวิทยาลัย พร้อมรับซ่อมคอมพิวเตอร์ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนเป็นอาชีพเสริม

หลังเรียนจบ เขาได้เข้าทำงานในบริษัทไมโครซอฟต์ ที่เขาบรรยายว่า เป็นงานที่น่าเบื่อมาก วันๆ ไม่ได้ทำอะไร ต้องหาหนังสือมานั่งอ่านฆ่าเวลาไปพลางๆ เขาทำอยู่ไม่นานจึงออกมารับพัฒนาเว็บนั้นเว็บนี้ไปก่อน

ในที่สุด ปี 2012 เขาก็ก่อตั้ง ไบต์แดนซ์ ขึ้นที่แฟลตขนาด 4 ห้องนอนของเขาเองในกรุงปักกิ่ง เป็นแอพพลิเคชันแบ่งปันวิดีโอตลกๆ ที่กลายเป็นคอนเทนต์ออนไลน์ยอดฮิตออกไปสู่ผู้คนหลายล้านในกาลต่อมา

แม้ว่าคอนเทนต์ตลกๆ จะถูกรัฐบาลจีนสั่งแบนในไม่ช้า แต่ก็ไปสะดุดตานักลงทุน อย่าง ซอฟต์แบงก์ กรุ๊ป เซคอยยา แคปิตัล และซัสเกอฮันนา อินเตอร์เนชันแนล ทำให้ ไบต์แดนซ์ มีมูลค่าเทียบชั้นได้กับเท็นเซนต์ และอาลีบาบา ในเวลาอันรวดเร็ว


ด้วยการถูกกีดกันในสหรัฐและอินเดีย ทำให้ จางหยี่หมิง เพิ่มความพยายามในจีนให้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของแมกกาซีนข่าวออนไลน์ โตวเตี่ยว ที่ได้ขยายฐานจากอี-คอมเมิร์ซ กับเกมออนไลน์ ไปสู่สื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว

เขายังวางแผนระยะยาวต่อไป ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีจากอูเบอร์ พร้อมซื้อตัว ชิวโชวซี ผู้บริหารด้านการเงินจากเสียวมี่ มาดูแลด้านการตลาดของ ไบต์แดนซ์

“ทำใจร่มๆ และคิดเสียว่า อุปสรรคทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาโลกที่เราต้องเผชิญ เหมือนเวลาเราหิวก็ต้องกิน ยามเหนื่อยก็ต้องพัก ง่ายๆ แค่นี้เองครับ” จางหยี่หมิงกล่าว