หลายเหตุผลที่ทำให้คนสหรัฐ หันมาเลือก โจ ไบเดน เข้ามานั่งในทำเนียบขาวแทน โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการจัดการการระบาดของ COVID-19 หรือกรณีเหยียดผิว Black Lives Matter ก็ตาม
จะว่าไปแล้ว ก่อนจะกลายมาเป็นว่าที่ประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในโลก ในชีวิต 70 กว่าปีของ โจ ไบเดน ก็ผ่านการสะสมเรื่องฉาวๆ มาไม่น้อย
โจ ไบเดน ที่ออกมาชูนโยบายต่อต้านความรุนแรงทางเพศ และสนับสนุนกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง สำหรับผู้ที่กระทำความผิด เคยถูกกล่าวหาโดย ทาร่า รี้ดดี้ อดีตลูกน้องของเขาในปี 1993 ว่าคุกคามทางเพศ โดยเธอให้การว่า โจแตะเนื้อต้องตัวเธออย่างเกินเลย
ทาร่า รี้ดดี้ ไม่ใช่คนเดียวที่ออกมากล่าวหาโจ ไบเดน ในข้อหานี้ ยังมีสตรีรายอื่นๆ อีกที่ออกมารายงานว่า ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มักจะชอบสัมผัสพวกเธออย่างเกินเลยไปนี้ดส์ อย่างเช่น ลูซี่ ฟลอเรส สมาชิกพรรคเดโมแครตจากเนวาดา บอกว่า โจ จูบที่ซอกคอของเธอ ระหว่างหาเสียงที่เนวาดา
เอมี แลปปอส อดีตผู้ช่วยของเขา ก็เล่าว่า ตอนที่หาเสียงในปี 2009 เขานำมือเธอมาจับแก้มทั้ง 2 ข้างของเขา แล้วก็เอาจมูกของเขามาถูไถกับจมูกของเธอ
ดีเจ ฮิลล์ คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทม์ส ก็มีประสบการณ์นี้เช่นกัน เธอเล่าว่า ระหว่างที่โจ ไบเดน จัดระดมทุนในปี 2012 เขาวางมือลงบนหัวไหล่ของเธอ แล้วก็ซบลงมาด้านหลัง ทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนมากๆ
พอโดนกล่าวหามากๆ เข้า โจ ก็โพสต์วิดีโอแก้ต่างลงทวิตเตอร์ บอกว่าจะระมัดระวังกริยาของตัวเองให้มากขึ้น
อีกนโยบายของโจ ไบเดน คือการเปิดกว้างเรื่องผู้ลี้ภัย โดยบอกว่า มีความเห็นอกเห็นใจทุกครอบครัว ที่สมาชิกต้องแยกจากกัน เพราะถูกขับออกจากสหรัฐ เขาจะทำให้อเมริกาเป็นสวรรค์ของผู้ลี้ภัย
ในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ปี 2009 – 2017 หรือสมัยที่บารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดี และโจ ไบเดน คือรองประธานาธิบดี ข้อพิพาทเรื่องผู้ลี้ภัยเพิ่มจาก 389,834 เป็น 409,849 ราย สรุปรวมผู้ที่ถูกผลักดันออกไปจากประเทศทั้งหมดถึง 240,255 ราย
ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังมีผู้อพยพที่เป็นเยาวชนมากกว่า 700,000 ราย ที่เข้าประเทศมาโดยไม่มีเอกสารใดๆ โดยมีข้ออ้างว่า ติดตามพ่อแม่เข้าประเทศมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ
โจ ยังหาเสียงว่า จะไม่ทำให้พรมแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโกกลายเป็นสนามรบอย่างแน่นอน ทว่า ย้อนไปในปี 2006 ขณะที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน เคยลงชื่อสนับสนุนโครงการ “กำแพงรักษาดินแดน” ที่กินระยะทางหลายร้อยไมล์ ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกมาแล้ว
แม้ว่า บรรดาผู้นำต่างประเทศ ต่างก็สนับสนุนโจ ไบเดน เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวออกจากนโยบายโลกร้อน แต่นโยบายต่างประเทศของโจ ยังเป็นข้อถกเถียง โดยเฉพาะประวัติการสนับสนุนการทำสงครามกับอีรัก รวมทั้งสนับสนุนการโจมตีซีเรียด้วยโดรนที่ทำให้รัฐบาลของบารัค โอบามา มีความมั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐว่า ในสมัย .โอบามา-ไบเดน” นั้น มีการโจมตีปากีสถาน เยเมน โซมาเลีย และลิเบีย ถึง 473 ครั้ง
เรื่องฉาวๆ ของโจ ไบเดน ยังมีกรณีที่เกี่ยวโยงกับลูกชายคนสุดท้องของเขา ฮันเตอร์ ไบเดน ที่เป็นทนายความและล็อบบี้ยิสต์ ฮันเตอร์ ไปมีชื่อเป็นผู้บริหารของ บิวริสมา บริษัทพลังงานในยูเครน ระหว่างที่โจเป็นรองประธานาธิบดี โดยโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่า ฮันเตอร์และบิวริสมา เกี่ยวโยงกับคดีทุจริตคอร์รัปชัน แล้วก็กล่าวหามาถึงโจผู้เป็นพ่อด้วยว่า ไม่ยอมดำเนินคดีลูกของตัวเองที่ทำผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ฮันเตอร์ ได้ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และตอกกลับโดนัลด์ ทรัมป์ว่า แค่ต้องการจะหาเรื่องบิดาเขาเท่านั้น