Celeb Online

5 มหาเศรษฐีของจีน รวยล้นติดอันดับโลก


มหาเศรษฐีโลกมีการจัดอันดับกันใหม่ทุกปี ที่น่าทึ่งคือ จีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐีติดอันดับโลกมากที่สุด และหนึ่งในนั้นรวยที่สุดในเอเชียด้วย ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีโผลำดับมหาเศรษฐีของจีนออกใหม่อีกครั้ง มาดูกันว่ามหาเศรษฐี 5 อันดับแรกในจีนเป็นใครบ้าง และพวกเขาเนื้อสร้างตัวมาอย่างไรถึงได้รวยถล่มทลายขนาดนี้


:: จง ซานซาน(Zhong Shanshan)
เจ้าของทรัพย์สินมูลค่า 60.56 พันล้านดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือ นอกจากจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว เขายังไม่ได้มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเหมือนมหาเศรษฐีชาวจีนคนอื่นๆ จงเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำดื่มบรรจุขวดชื่อ ‘Nongfu Spring’ และเป็นเจ้าของบริษัทยาชื่อ ‘Beijing Wantai Biological Pharmacy’ ซึ่งผลิตยาและวัคซีน จงเกิดที่หางโจว เรียนแค่ชั้นประถมฯ ก็ต้องลาออกเพราะเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม สมัยวัยรุ่นเขาทำงานเป็นคนงานก่อสร้าง และลงทะเบียนเรียนที่ Zhejiang Radio & TV University หลังจบการศึกษาทำงานเป็นนักข่าวที่ Zhejiang Daily เขาเคยสัมภาษณ์นักธุรกิจที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวยมากกว่า 500 คน ซึ่งนั่นจุดประกายความฝันที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง เขาจึงลาออกจากอาชีพนักข่าวเข้าสู่แวดวงธุรกิจเพื่อสานฝันของตัวเอง และเริ่มจากเป็นพ่อค้าขายเห็ด กุ้ง และเต่าที่เกาะไหหลำจากนั้นก็ไปทำงานเป็นเซลล์ที่ Wahaha ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจน้ำแร่ Nongfu Spring ของตัวเอง และเป็นประธานและผู้ถือหุ้นใหญ่ Beijing Wantai Biological Pharmacy เมื่อเดือนกันยายน 2563จงกลายเป็นข่าวพาดหัวโด่งดังไปทั่วโลกว่าร่ำรวยกว่า “แจ๊ค หม่า” และเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ปลายเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้น ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นอีก 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย จงได้รับสมญานามว่า “หมาป่าเดียวดาย” เพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน เป็นคนเก็บตัว แต่ชอบบริจาคเงินให้การกุศล เขาแต่งงานกับ Lu Xiaoping และมีลูก 3 คน นั่นคือข้อมูลส่วนตัวของเขาที่เป็นที่เปิดเผย


:: โคลิน หวัง (Colin Huang)
เจ้าของสินทรัพย์ 43.9 พันล้านดอลลาร์เขาก่อตั้งบริษัทอี-คอมเมิร์ซชื่อ ‘Pinduoduo’ (อ่านว่า พินตัวตัว) ขึ้นมาได้เพียง 5 ปี แต่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล หวังมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงานที่เมืองหางโจว เมืองเดียวกับแจ๊ค หม่า เขาเรียนเก่งขนาดเคยเข้าแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก พอจบปริญญาตรีที่จีนก็ไปต่อโทที่อเมริกา สมัยเรียนได้ฝึกงานกับ Microsoft แต่เขาไม่ยอมทำงานที่นั่นตามคำชวน หากไปทำงานกับ Google แทน ก่อนจะตัดสินใจลาออกมาตั้งธุรกิจของตัวเอง Pinduoduo ใช้การซื้อเป็นกลุ่มเป็นกลยุทธ์ในการขาย กล่าวคือ บริษัทจะให้ส่วนลดเมื่อสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก ผู้ซื้อก็เลยแชร์สินค้าออกไปทางแอพลิเคชันอื่นๆ เพื่อชวนเพื่อนมาซื้อ ถือเป็นการโปรโมตไปในตัว ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายและเร็วมาก ไอดอลของหวังคือ “วอเรน บัฟเฟตต์” เขายกย่องกับการบริจาคเงินให้สาธารณกุศล ซึ่งตัวเขาเองก็ตั้งใจจะมอบสัดส่วนหุ้น 2.3 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทให้แก่มูลนิธิการกุศลเช่นกัน


:: จาง อีหมิง (Zhang Yimming)
ผู้ก่อตั้ง TikTok ที่โด่งดัง เจ้าของทรัพย์สินมูลค่า 43.4 พันล้านดอลลาร์ จางจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหนานไค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังของประเทศจีน ในปี 2011 เขาเริ่มเห็นพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเสิร์ชหาข้อมูลต่างๆ ทางคอมพิวเตอร์ แต่คนยุคใหม่เริ่มหันไปใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งทำกิจกรรมอื่นๆ เขาจึงสร้างแพลตฟอร์มคอนเทนต์ที่ใช้ AI ซึ่งก็คือ ‘Toutiao’ แพลตฟอร์มยอดฮิต และพัฒนาแอพลิเคชันใหม่ออกมาโดยมีชื่อว่า ‘TikTok’ หรือ ‘โต่วอิน’ ในภาษาจีนนั่นเอง


:: วิลเลียม ติง (William Ding)
​เจ้าของทรัพย์สินมูลค่า 31.5 พันล้านดอลลาร์ เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยด้านอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำงานเป็นพนักงานบริษัทไม่นานเขาก็ลาออกมาตั้งบริษัท Netease ของตนเองขึ้นมา พัฒนาระบบอีเมลที่ใช้งานจากเว็บไซต์เป็นเจ้าแรกของจีน ซึ่งรองรับได้ถึง 2 ภาษา ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ทำให้ฟรีอีเมลของ Netease ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ชาวจีนกว่าครึ่งประเทศใช้อีเมลของเขาหวังจับทางและตลาดถูก ต่อมาก็ร่วมลงทุนกับ EA บริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ทำตลาดเกมออนไลน์ในจีน ซึ่งตอนนั้นกำลังได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทเติบโตแบบพุ่งทะยานและประสบความสำเร็จเกินคาด


:: หม่า ฮั่วเถิง (Ma Huateng Ma Huateng)
หรืออีกชื่อคือ “โพนี หม่า” เจ้าของทรัพย์สิน 30.8 พันล้านดอลลาร์ ผู้ทำงานแค่ 5 ปีก็ออกมาร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทTencent ที่โด่งดัง เมื่อแรกเริ่มบริษัทของเขารับวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสำหรับองค์กร ต่อมาเขาตัดสินใจทำเว็บไซต์ชื่อ QQ.com ขึ้นมา ซึ่งมีรายได้จากค่าโฆษณา ต่อมาเพิ่มการขายไอเทมตกแต่ง Avatar ในแอพ QQ ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่ใช้โมเดลรายได้จาก Virtual Money หรือเงินเสมือนจริงในโลกออนไลน์ ที่เมื่อผลิตไอเทมออกมาครั้งเดียวก็สามารถทำซ้ำโดยไม่มีต้นทุน แถมสร้างรายได้แบบไม่รู้จบ ต่อมาเขาก็รุกหนักในตลาดเกมในปี 2010 เขาคาดการณ์อีกไม่นานสมาร์ตโฟนจะครองโลก จึงให้ทีมงานแข่งกันพัฒนาแอพสำหรับแชตที่สามารถใช้งานบนสมาร์ตโฟนได้ โดยแอพที่ชนะเลิศในการแข่งครั้งนี้คือ เหวยซิ่น (Weixin) หรือ WeChat ที่เด็ดคือ แอพนี้เปิดตัวในวันที่สมาร์ตโฟนเริ่มวางขายในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในแอพพื้นฐานที่มือถือทุกเครื่องต้องมี ทำให้ผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนรู้จักแอพนี้ทันที ที่เด็ดกว่านั้นคือ แค่ผูกบัญชีธนาคารกับแอพนี้ก็สามารถใช้ทำธุรกรรมทางการเงินได้แทบทุกอย่าง และที่ทำให้เติบโตถล่มทลายก็คือช่วงตรุษจีนปี 2014 ทาง Weixin ได้ทำแคมเปญเชิญชวนให้ส่งอั่งเปาในรูปแบบเงินดิจิตอล ซึ่งสามารถส่งอั่งเปาแบบดิจิตอล (โดยเอาเงินจริงแลกเป็นอั่งเปาดิจิตอล) แล้วส่งให้กับสมาชิกในครอบครัว สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการธนาคาร เพราะแอพนี้โอนง่ายจ่ายคล่อง แถมไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย