Celeb Online

"เจมส์ แฟร์รากาโม" ทายาทแฟชั่นระดับโลก ที่เริ่มจากแรงงานร้อยเชือกผูกรองเท้า


แม้ว่ารองเท้าของซัลวาตอเร แฟร์รากาโม จะถูกสวมใส่โดยคนดังๆ อย่าง มาริลีน มอนโร ออเดรย์ เฮพเบิร์น หรือเกรตา การ์โบ รวมทั้งนักแสดงฮอลลีวูดอีกหลายนาง แต่ ซัลวาตอเร แฟร์รากาโม บอกว่า ‘คนทำรองเท้า’ นั้นด้อยค่าที่สุดในบรรดาผู้รังสรรค์แฟชันทั้งหลาย

สื่อแฟชันขนานนามเขาว่า ช่างทำรองเท้าดารา ซึ่งสะท้อนว่า ซัลวาตอเร สามารถเชื่อมโยงโลกที่คู่ขนาน ระหว่างการทำการค้า กับผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์อย่างประณีตมารวมกันได้


สำหรับ เจมส์ แฟร์รากาโม หลานปู่ของ ซัลวาตอเร แฟร์รากาโม แรงงานร้อยเชือกผูกรองเท้าตั้งแต่วัย 10 ขวบ หรือราว 3 ทศวรรษที่แล้ว มาบอกเล่าเรื่องราวธุรกิจของครอบครัวในฐานะผู้อำนวยการแผนกรองเท้าบุรุษ สตรี และผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง…

เจมส์ เริ่มต้นในวัยที่ไม่ต่างไปจากคุณปู่ซัลวาตอเร ของเขา ที่เริ่มหัดซ่อมรองเท้าตั้งแต่ 9 ขวบ พออายุ 12 ก็เริ่มเปิดร้านของตัวเองที่ชั้นล่างของบ้านพ่อแม่ ขณะที่ แฟร์รุคโช ลูกชายของเขา (บิดาของเจมส์) ที่ปัจจุบันเป็นประธานบริษัทฯ เข้ามาเริ่มทำงานตอนอายุ 18 และยังทำอยู่จนทุกวันนี้


“แฟร์รากาโม เป็นแบรนด์ที่มีความผูกพัน และชื่นชูสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดกันมา” เจมส์ ทายาทรุ่นที่สาม ซึ่งเข้าร่วมธุรกิจของครอบครัวในปี 1998 เล่า“แม้ว่าผมจะไม่เคยพบคุณปู่ตัวเป็นๆ แต่ผมก็ภูมิใจในตัวคุณปู่มาก โดยเฉพาะผลงานและวิถีชีวิตของเขา” ซึ่งเจมส์เสริมว่า เขาพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับคุณปู่ให้มากที่สุด เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจแบรนด์แฟร์รากาโม

ซัลวาตอเร แฟร์รากาโม เกิดในปี 1898 ที่เมืองโบนิโต ประเทศอิตาลี เป็นลูกคนที่ 11 ใน 14 คนในครอบครัวที่ยากจน หลังเสร็จสิ้นการฝึกงานในเนเปิลส์ เขาได้ย้ายไปอยู่บอสตันในปี 1914 เพื่อทำงานร่วมกับพี่ชายในโรงงานรองเท้าบู๊ตคาวบอย หลังจากรู้สึกช็อกกับคุณภาพของรองเท้า เขาจึงชักชวนพี่น้องของเขาให้ย้ายไปยังแคลิฟอร์เนีย เพื่อเปิดร้านซ่อมและออกแบบรองเท้า ไม่นานก็ได้รับฉายาว่า ‘ช่างทำรองเท้าดารา’ อย่างรวดเร็ว


ซัลวาตอเร มีความฝันอยากกลับไปเปิดธุรกิจที่บ้านเกิด แต่เขาก็อยากจะได้ความรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ กลับไปด้วย เขาเริ่มเรียนปริญญาด้านกายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย เพื่อให้แน่ใจว่ารองเท้าของเขาจะเหมาะกับเท้าและดวงตา ในปี 1927 เขากลับมายังอิตาลีและตั้งหลักชีวิตที่เมืองฟลอเรนซ์

แม้จะพบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แต่การตัดสินใจด้านการจัดการที่ไม่ดีต่อเนื่องหลายครั้ง—ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจในสมัยนั้น—บีบให้ซัลวาตอเรต้องประกาศล้มละลาย แต่เขาก็ทำงานอย่างหนัก และได้สร้างธุรกิจขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1950 และขยายจำนวนพนักงานเป็นช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ 700 นาย พวกเขาผลิตรองเท้า 350 คู่ต่อวัน


ทุกวันนี้ แฟร์รากาโม กรุป เป็นหนึ่งในแบรนด์หรูที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เหนือสะพานซานตา ตรินิตา สะพานที่ ดังเต อะลิเกรี กวีชาวอิตาเลียนได้พบกับ เบียตริซ รักแท้ของเขา แฟร์รากาโม ในปัจจุบันมีรายได้ 1,007 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สำคัญ คือ พวกเขามีแฟนคลับที่เหนียวแน่นของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น เจค จิลเลนฮาล, แวนนิง ตาตัม เจเรมี เรนเนอร์ รวมถึง เคท วินสเลท, นิโคล คิดแมน และฟรีดา ปินโต

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจครอบครัวมักจะต้องเผชิญกับความท้าทายของการสืบทอดรุ่นต่อรุ่น อาจจะโชคดีสำหรับ แฟร์รากาโม กรุป ที่ทายาทมีการสืบทอดลักษณะนิสัยของซัลวาตอเร ทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ อย่าง เจมส์ เจนเนอเรชันที่ 3 นั้นจบการศึกษาจากโรงเรียนมิลล์ฟิลด์ ในอังกฤษ ที่สอนในระบบทางเลือก เพื่อดึงศักยภาพที่มีในตัวเด็กๆ ออกมาให้ได้มากที่สุด ก่อนจะไปจบปริญญาด้านการตลาดและธุรกิจระหว่างประเทศนิวยอร์ก และกลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญในธุรกิจครอบครัว


“เรามีอิสระที่จะเลือกเส้นทางอาชีพ” เจมส์ บอกอีกว่า “ผมไม่ลังเลเลยที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจครอบครัว ผมจึงเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมด้านการจัดการในปี 1998 จากนั้นจึงย้ายไปลองทำแผนกพัฒนาและผลิตรองเท้าผู้หญิง โดยหนึ่งในโปรเจ็กต์หลักแรกของผม คือการพัฒนารองเท้าทรงบัลเล่ต์ โดยอิงจากการออกแบบในปี 1954 ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับออเดรย์ เฮพเบิร์น”

เจมส์ เรียกว่า เป็นหนึ่งในผู้โชคดี โดยสมาชิกในครอบครัวจากรุ่นที่ 3 ที่ได้ทำงานในระดับสูง 3 คน นอกจากเขาแล้วยังมีลูกพี่ลูกน้อง อย่าง ดิเอโก ดิ ซาน จูเลียโน เป็นกรรมการบริหารและประสานงานกิจกรรมดิจิทัลของแบรนด์ ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องอีกคน แองเจลิกา วิสคอนติ เป็นผู้อำนวยการของ แฟร์รากาโม กรุป ยุโรปใต้ “เราสนิทสนมกันมากและเราพยายามที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่เคยพอใจ” เจมส์เสริม


การหาโครงการสืบทอดตำแหน่งอย่างมืออาชีพนั้นหาได้ยากในธุรกิจครอบครัว แน่นอนว่า ในตำแหน่งที่เหมาะสมของบริษัท ก็มีการสรรหาคนที่มีความรู้ความสามารถมานั่งในตำแหน่งอยู่บ้าง แต่สำหรับรุ่นต่อไปที่อยากจะเลือกสานต่อมรดกครอบครัว พวกเขาจะต้องมีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ปริญญาโท ต้องไปหาประสบการณ์ภายนอกอย่างน้อย 2 ปี และต้องผ่านการสอบเข้า ที่จัดทำโดยสมาชิกในครอบครัว เป็นความท้าทายที่เจมส์กล่าวว่า เพื่อที่จะรับประกันความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ต่อธุรกิจในอนาคต